"อ่ะ อื้อออออ"
“….” ปากกาหล่นจากมือดังแป๊กไหลไปกับพื้น
“อ๊าาาาาส์” เสียงคำรามครางลอดประตูห้องทำงานออกมาด้านนอก คล้ายเป็นเสียงด้านในทำกิจกรรมบางอย่าง เลขาหน้าห้องท้องแก่สะดุ้ง ปากกาในมือหล่นเก็บแทบไม่ทันเมื่อได้ยินกระทบเข้ารูหูเป็นระดับผู้บริหาร นั่งตัวเกร็งเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกในยามที่ได้ยินเสียงส่อไปทางลามกเช่นนี้
"เอกสารฝาก coppy ได้แล้วครับคุณเลขา" เจษคนสนิทของชนินธรวางแฟ้มการประชุมหลายฉบับของบอร์ดผู้บริหารที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
"ขอบคุณค่ะ" อาการเลิ่กลั่กยิ้มมุมปากเล็กน้อยทำเจษสงสัย
"เป็นอะไรอ่ะเมย์"
"....."
“ปวดท้องคลอดเหรอ”
“ยัง” มองไปยังประตูสีทองเหลืองอร่ามติดป้ายชื่อผู้บริหาร ชนินธร นักขัตปรารถ แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อยไปการเชื้อเชิญอีกคนให้มองตามไปยังต้นเสียง
อื้อ อ๊าส์
"บอสอยู่ข้างในเหรอ" เจษเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ลอดออกมาเป็นระยะ มองไปยังบานประตูที่ถูกปิดสนิทอย่างสงสัยว่าด้านในกำลังทำอะไร
"ใช่ บอสอยู่ในห้อง" กระซิบตอบ
"อย่าบอกนะว่าบอสอยู่กับ..."
อ๊าาาาาส์ แม่งงงงง!!!!
เมฑญาใช้ฝ่ามือตีหัวไหล่เจษดังตุบตับตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงครางกระเส่าดังออกมาอีกครั้ง แม้จะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วบอสทำอะไรอยู่ก็อดคิดไปแบบนั้นได้
"บอสกำลังทำ.."
"พี่เจษไม่เอาไม่พูด บอสมาได้ยินเมย์จะโดนไล่ออกตอนท้องแก่ไม่ได้" ส่งสัญญาณด้วยการยกนิ้วแนบริมฝีปากเป็นการบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด
สุดยอดเลยว่ะ อ๊าาาส์
ตาเบิกโพลงกลมเป็นลูกปิงปองในยามเสียงครางอื้ออ้าครั้งใหญ่ดังขึ้น คนด้านนอกทั้งสองยกมือกุมริมฝีปากด้วยความตกใจ ต่างคนก็ต่างคิดว่าเจ้านายต้องพาผู้หญิงเข้ามาทำเรื่องอย่างว่าเพราะเคยเห็นชนินธรควงมาห้องทำงานอยู่สองสามครั้ง
"บอสชนินสุดๆ เลยอ่ะ ในห้องทำงานก็ไม่เว้น"
"รอบก่อนมีคนตาดีเห็นบอสพาเด็กเข้าห้อง ตอนออกมาเหงื่อแตกเต็มตัวเลยพี่เจษ รอบนี้ก็คง.." กำลังจะเล่าเรื่องครั้งก่อนให้เจษฟัง
แกร๊ก!!!
"อึ้ม" เสียงกระแอมโทนทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับชะโงกหัวออกมาในสภาพเปลือยกายท่อนบนและเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออาบร่างกำยำเป็นลอนเนื้อแน่นเป็นลูกบ่งบอกว่าบอสหนุ่มดูแลตัวเองอย่างดีเพราะหลายปีก่อนค่อนข้างป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องหันกลับมารักสุขภาพ จากที่สุ่มหัวก็ผละตัวออกคนละทางด้วยอาการลนลานแม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติก้มหน้าก้มตาทำงานก็ไม่อาจหลอกตาชนินธรได้ว่ากำลังถูกลูกน้องพูดถึง ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
"เจษ มึงไปเอาเกลือแร่ผสมน้ำมาให้กูด้วย" สั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงหอบ
"ท้องเสียหรือครับบอส"
"เปล่า กูเสียเหงื่อเยอะไปหน่อย"
"เห็นไหมพี่" เมฑญากระซิบเบาลอดไรฟัน ยืนยันว่าไม่ได้เข้าใจชนินธรผิดแน่ๆ
"เร็วๆ ไอ้เจษ" ยกดัมเบลหนักเกือบ 5 กิโล ออกมาโชว์ว่ากำลังออกกายในยามว่าง เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งเจษและเมฑญาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก บอสชนินแค่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ ส่วนเกลือแร่ที่ต้องการก็เป็นเกลือแร่สำหรับคนเสียเหงื่อสำหรับออกกำลังกายเท่านั้น
"ได้ครับบอส ผมจะรีบไปเอามาให้"
เจษวิ่งแจ้นลงชั้นล่างของบริษัทอย่างรวดเร็ว ปล่อยเมฑญายิ้มแห้งไม่กล้ามองตาสีคมกริบเมื่อครั้นคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน
"เอกสารบนโต๊ะ รอไอ้เจษมันถือเข้ามา" บอกเลขาท้องแก่ อีกไม่นานเมฑญาก็จะลาคลอดฉะนั้นหลังจากนี้งานคั่งค้างต้องรีบเคลียร์และจัดการให้เสร็จภายใน 1 เดือนเมื่อมีคนมารับช่วงต่อจะได้ไม่เป็นปัญหาทั้งเลขาชั่วคราวคนใหม่และเจ้านายอย่างบอสชนิน
"ค่ะบอส"
ปิดประตูแล้วหยิบดัมเบลยกขึ้นยกลงบริหารหารกล้ามโตๆ อีกครั้ง ชนินธรเป็นผู้ชายคลั่งการออกกำลังเป็นนิสัย ว่างเมื่อไหร่ต้องให้ตัวเองได้เสียเหงื่อคล้ายเป็นยาชูกำลังความเป็นหนุ่ม แม้จะมีอายุเลยเลขสามไปหลายปียังดูเหมือนจะยี่สิบต้นๆ เพราะดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอดหลายปี
...
Rrrrrrrr
“ค่ะแม่”
[เดือนที่สองแล้วนะตา ทำไมไม่ส่งเงินให้แม่กับน้อง]
ปลายสายคือสายรุ้งแม่ผู้เลี้ยงมานับสิบปี หลังจากพ่อเสียด้วยอุบัติเหตุทุกอย่างก็ดูแย่ลงไปหมด 2 ปีที่ผ่านตาหวานทำงานอย่างหนักเพื่อส่งให้ทางบ้านอีกทั้งน้องสาวคนเดียวกำลังจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยยิ่งสอบติดคณะแพทย์ค่าใช้จ่ายยิ่งหนักไปอีก
“แม่รอก่อนสิ อีกตั้ง 10 วันจะสิ้นเดือน หนูเพิ่งได้งานทำ”
[อย่าโกหกฉันนะนังตา ถ้ารู้ว่าโกหกฉันจะขายที่พ่อแกให้หมด] ตาหวานกำลังถูกขู่อีกแล้วมรดกจากคุณตาที่มอบให้พ่อตอนนี้ตกอยู่ในมือของสายรุ้ง แล้วแบบนี้ตาหวานจะยอมได้ยังไง
“หนูไม่โกหก สิ้นเดือนนี้หนูจะโอนทบของเดือนที่แล้วเป็นสามหมื่น”
[แล้วค่าเทอมน้อง]
“อีกตั้งหลายเดือน แม่ใจเย็นๆ หน่อย”
[เออ สิ้นเดือนแกห้ามลืมนะนังตา]
“ไม่ลืม แค่นี้นะแม่หนูต้องกลับไปทำงานแล้ว” ตัดสายทิ้งแล้วหย่อนก้นนั่งลงโซฟาทว่าคือโซฟาในบ้าน ตาหวานยังไม่มีงานทำเหมือนที่บอกแม่ ไม่เชิงว่าโกหกแต่ไม่อยากให้น้องไม่สบายใจ ตุ๊กตุ่นน้องสาวต่างบิดาวัยสิบแปดที่กำลังจะก้าวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยและสอบติดแพทย์มหาวิทยาลัยดังในประเทศไทย คิดมาแล้วได้แต่ถอนหายใจอีก 10 วันต้องส่งเงินทั้งบ้านทบสองเดือนเป็นเงินสามหมื่น
“เอาจากไหนล่ะยัยตาหวาน” คุยกับตัวเองไปสักพัก เปิดมือถือเปิดไลน์ไล่ดูประวัติการคุยไลน์ทักขอยืมเงินเพื่อนสนิทสองสามคนก็ไร้การตอบกลับ เพียงเท่านี้ก็รู้ได้เพื่อนที่คิดว่าจะช่วยเหลือกันในยามลำบากก็หนีหายและตีตัวห่างจะเหลือแค่เพียงพี่สาวคนสนิทอีกคนที่เคยเป็นพี่รหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยังติดต่อกันมาตลอด แต่เมื่ออีกฝ่ายมีครอบครัวทั้งยังท้องแก่ใกล้คลอดค่าใช้ต่างๆ เตรียมเลี้ยงดูลูกคงต้องใช้มากเป็นผลที่ทำให้ตาหวานไม่อยากไปรบกวนอะไรพี่สาวคนนี้มาก
คนตัวบางเหมือนไร้หนทางออก สิ่งเดียวที่คงหวังได้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตาหวานเดินไปยังห้องพระจุดธูปสามดอกตามความเชื่อคนไทยแล้วก้มกราบพระพุทธรูปองค์เก่าที่พ่อเคยให้ไว้ก่อนจะย้ายตัวเองมาหางานทำที่กรุงเทพ
“หลวงพ่อคะ หนูจนปัญญาจนหนทางจริงๆ น้องก็ต้องเรียนหนูก็ต้องใช้ต้องกิน ตอนนี้หนูเหลือเงินไม่ถึงหมื่น สิ้นเดือนนี้อีก บุญกุศลที่เคยทำมาหนุนนำให้หนูมีงานมีเงินช่วยให้หนูผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ด้วยเถอะ”
ยกมือท่วมหัวแล้วปักธูปลงกระถางไม่ถึง 1 นาทีข้อความไลน์ดังขึ้น
ยัยตา แกว่างงานใช่ไหม พี่มีงานให้แกทำ
ดวงตาเบิกกว้างในทันทีเมื่อเห็นข้อความโชว์บนหน้าจอคือพี่สาวคนสนิท ศักดิ์สิทธิ์จริงๆพระที่พ่อให้มาศักดิ์สิทธิ์จนเหลือเชื่อ
"ยกเลิกกะทันหัน" ตะโกนลั่นห้องประชุม ประธานหนุ่มใหญ่วัย 30 ปี เกิดอาการไม่พอใจบริษัทคู่ค้าคุยกันสะดิบดีว่าจะร่วมมือกันทำธุรกิจและดึงชาวต่างเข้ามาร่วมในไทย ทว่าก็โดนเทการประชุมแบบงงๆ
"ครับ ทางนั้นให้เหตุผลว่าบอร์ดผู้บริหารคิดทบทวนใหม่แล้วรู้สึกไม่คุ้มทุนเลยลังเลและขอตัดสินใจอีกรอบ”
"อะไรของพวกมัน ให้กูก็นั่งรอครึ่งชั่วโมงแล้วมาเทกันแบบนี้" สบถคำหยาบอย่างไม่เกรงใจคนอื่นที่นั่งตัวแข็ง ทั้งตบโต๊ะด้วยน้ำหนักมือที่รุนแรงเมื่อรู้เหตุผลของฝั่งโน้น
"เอาอะไรมาคิดว่าไม่คุ้มทุน ดับบิลเอสซีทีเกิดก่อนพวกมันด้วยซ้ำ" ผู้นำอย่างชนินธรลุกจากเก้าอี้กระตุกเสื้อสูทด้วยสีหน้านิ่งขรึมในยามถูกหยามเกียรติและความสามารถ ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในเรื่องการบริหารได้เพียงสองปีทว่าชนินธรก็ทำผลงานพาหุ้นบริษัทมีมูลค่ามาตลอด อีกทั้งยังมีรายชื่อติดอันดับของผู้บริหารไฟแรงในปีนี้อีกด้วย
"คิดว่ากูขายของเล่นหรือไง มันไม่รับข้อเสนอก็ทำมันเอง"
"....." ลูกน้องนั่งอึ้งไปตามๆ กัน แม้แต่เลขาท้องแก่ที่จะคลอดในไม่กี่เดือนยังนั่งนิ่งกลืนน้ำลายในยามที่เจ้านายโมโหหน้านิ่งเป็นกระแสน้ำเชี่ยว ชนินธรค่อนข้างใจใหญ่พอสมควรเมื่อถูกดูถูกกันแบบนี้ใครจะไปยอม
"80 ล้านสำหรับโปรเจคนี้ กูยื่นข้อเสนอให้ก็เล่นตัว" กระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ชนินธรเป็นพวกเสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ ใครกล้าหยามดูถูกถึงประสิทธิภาพย่อมจะทำให้เห็นว่าคิดผิด ผู้นำของดับบิลเอสซีที กรุป ออกคำสั่งให้ทุกคนปฏิบัติโดยเร่งด่วน ต้องทำให้เห็นสะบ้างว่าไม่มีบริษัทลูกกระจ๊อกพวกนั้นชนินธรสามารถทำเองได้ ทว่าที่เปิดปากขอร่วมทุนแค่อยากเปิดโอกาสต่อยอดในช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ก็เท่านั้น
โปรเจคก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์เพื่อใช้เป็นที่ประชุมและรองรับการสัมมนาของคู่ค้าชาวต่างชาติรวมทั้งทำเป็นที่พักระดับ 5 ห้าดาวในต่างจังหวัดกำลังเกิดขึ้น เมื่อไม่ได้รับความร่วมจากเพื่อนบ้านทางธุรกิจ ไม่เห็นจำเป็นต้องแคร์การประกอบธุรกิจตัวคนเดียวเอาเข้าใจมันทำอะไรก็ง่ายและคล่องตัวอย่างมากขึ้น ชนินธรไม่ต้องรอความคิดเห็นจากใครและที่สำคัญการลงทุนกับโปรเจคมหาศาลย่อมทำกำไรในภายภาคหน้าได้ดีทีเดียว
ก๊อกๆๆ
"ขออนุญาตค่ะบอส”
“เข้ามา” เมฑญาเเดินถือเอกสารต้วมเตี้ยมตามสรีระแสนอุ้ยอ้ายเข้าห้องทำงานของชนินธร
"...."
"นี่คือโปรเจคที่บอสสั่ง ตอนนี้ฝ่ายบัญชีอนุมัติเบิกงบแล้วเรียบร้อย"
รับเอกสารเปิดตรวจสอบอย่างตั้งใจ เช็คดูจุดผิดพลาดแต่ทุกอย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นที่น่าพอใจ ที่เหลือคือรอทีมวิศวกรและทีมก่อสร้างเข้าไปดูพื้นที่
"เรียบร้อยดี" ค่อนข้างพอใจกับงานชิ้นใหญ่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีภายในไม่กี่ชั่วโมง
"โปรเจคนี้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่เมย์ต้องลาคลอดแล้วค่ะ"
"ลาคลอด" มองไปยังท้องกลมๆ ของเลขาร่วมทำงานกันมาได้ก็ 2 ปี เมฑญาเป็นคนทำงานดีไม่ขาดไม่ลายกเว้นแค่ป่วยหนักจนต้องแอดมิดโรงพยาบาล
"สามเดือนใช่ไหม"
"ใช่ค่ะสามเดือน"
"แค่สามเดือนมันจะพออะไรกับการเลี้ยงเด็ก สวัสดิการใหม่ฉันเพิ่งเซ็นอนุมัติเมื่อวาน" วางแฟ้มเอกสารเซ็นอนุมัติลาคลอดของเมฑญาเพื่อใช้ยื่นกับ HR ทว่าสวัสดิการที่ถูกแก้ไขใหม่คือคุณแม่ตั้งครรภ์ลาคลอดได้ถึง 6 เดือน ดับบิลเอสซีทีเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องการเลี้ยงดูบุตรเพราะส่วนใหญ่คลอดแล้วมักลาออกเพื่อไปเป็นคุณแม่เต็มตัว
"ขอบคุณค่ะบอส"
"อืม"
"ส่วนเลขาชั่วคราวจะเป็นสัญญาจ้าง 6 เดือน เมย์ให้น้องที่รู้จักมาช่วยงานแทนระหว่างรอคลอด บอสจะเปิดดูประวัติก่อนไหมคะ"
"ไม่เป็นไร คุณเอาไปให้ HR ทำสัญญาจ้างได้เลย" ชนินธรค่อนข้างไว้ใจเมฑญาเพราะทำงานด้วยกันมานาน เลขาคนใหม่ที่เมฑญาหามาทำแทนชั่วคราวก็ต้องโพรไฟล์ดีระดับหนึ่ง มันไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วในตอนนี้
"ได้ค่ะบอส แล้วโปรเจคนี้จะให้ใครเป็นผู้ดูแล"
"ผมดูแลเอง" น้ำเสียงหนักแน่นจะทำโปรเจคนี้ด้วยตัวเองหวังจะเอาความสำเร็จตอกหน้าพวกชอบปฏิเสธและดูถูกดับบิลเอสซีทีสักหน่อย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเมฑญาก็ออกไปที่โต๊ะทำงานเตรียมเคลียร์ข้าวของบางส่วนเพื่อลาคลอดอย่างเต็มตัว
ห้างสรรพสินค้า
"กระโปรงไซส์นี้มียาวกว่านี้ไหมคะ" เสียงหวานของผู้หญิงวัย 26 ปีสอบถามในขณะที่กำลังเลือกดูทรงกระโปรงสำหรับใส่ทำงานในกรณีเร่งด่วน ตั้งแต่ขอพรจากพระพุทธรูปก็ไม่นึกว่าจะเข้ามาเร็วจนเตรียมตัวเกือบไม่ทัน
"ถ้าเอายาวกว่านี้ต้องเป็นรุ่นนี้ค่ะคลุมเข่าได้เลย" ตาหวานกำลังเลือกชุดทำงานที่เหมาะสมกับเป็นเลขาผู้บริหารแม้จะเป็นแค่งานชั่วคราวก็ดีกว่าไม่มีงานทำ ทั้งเงินเดือนยังถือว่าอยู่ในเรทที่มากกว่าทุกทีที่เคยทำและหากทำงานถูกใจฝั่งโน้นอาจจะได้ทำเป็นพนักงานประจำไปเลยก็ได้
"งั้นเอารุ่นนี้ 2 ตัวค่ะแล้วขอเป็นเชิ้ตสีสุภาพอีก 2 ตัว" จากนั้นเดินไปลองสวมรองเท้าคัทชูทรงสุภาพมีส้นเล็กน้อย ตาหวานเป็นผู้หญิงรูปร่างดีบุคลิกใช้ได้ ดังนั้นหากเลือกกระโปรงสั้นเกินไปรวมทั้งรองเท้าสูงไปหน่อยจะกลายเป็นโป้ในทันที
ชุดทำงานใหม่บรรจุลงถุงเรียบร้อยด้วยราคาเสียหายรวมแล้ว 2,990 บาท ถือว่าแพงในสถานะทางการเงินร่อยหรอเลยทีเดียว แต่ก็ต้องลงทุนให้สมกับเงินเดือนกับตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมายเสียหน่อย
"เอาวะยัยตาลงทุนหน่อย" มองสิ่งของในถุงสูดหายใจลึกเข้าปอดแล้วเดินข้ามถนนอย่างไม่ทันระวังว่าจะมีรถยนต์พุ่งมาด้วยความเร็วสูง เสียงแตรรถดังขึ้นทำตาหวานตกใจอย่างสุดขีดของในมือสะบัดทิ้งยกมือปิดหูสองข้างนั่งลงกับพื้นลาดยางร้อนๆ
"อร๊ายย!!"
"เดินไม่มองรถเลยคุณ" ตะโกนออกจากรถด้วยน้ำเสียงโมโหในขณะที่ตาหวานยังนั่งตัวสั่นอยู่ จากนั้นเจ้าของรถหรูเคลื่อนย้ายเทียบฟุตบาทเพื่อป้องกันรถด้านหลังชนแล้วเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน โชคดีที่เป็นถนนซอยเล็กๆ หลังห้างรถไม่เยอะและพอหลบหลีกได้ เจ้าของรถเดินกลับมาด้วยท่าทีหงุดหงิดในทั้งอากาศก็ร้อนธุระก็เร่งยังต้องมาเจอบุคคลที่เดินข้ามถนนไม่ระวังอุบัติเหตุเอาสะเลย
"ลุก" ดึงแขนเล็กให้อีกฝ่ายลุกขึ้นโดยไม่ใช่การประคองแบบเบามือ ทว่าต้องรีบผู้หญิงที่นั่งตัวสั่นออกจากกลางถนนที่เป็นที่สัญจรของรถรา คนตัวเล็กลุกยืนแล้วก้มหน้าปัดเศษดินเศษฝุ่นที่เปื้อนกางเกงออกแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของรถที่ขับแบบไม่มีมารยาทและไม่คำนึงถึงกฎจราจร
"ตาหวาน" หันมองคนที่เรียกชื่อตัวเอง พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้าคือผู้ชายที่เคยคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดีเขาคือชนินธรอดีตคนรักเก่าที่เลิกลากันไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือได้ข่าวคราวกันอีกเลย
"พี่ชนิน" กลืนเสียงตัวเองลงคอในครั้นเผลอเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ โดยไม่รู้ว่าคนตรงหน้ายังเต็มใจให้เรียกอยู่หรือเปล่า
“เจ็บตรงไหนไหม” น้ำเสียงโทนต่ำกว่าเมื่อสักครู่เพ่งสำรวจร่างแน่งน้อยว่ามีตรงไหนบาดเจ็บหลังจากล้มหัวคะมำหน้าเกือบไถไปกับพื้นถนน
“อย่ามาจับ” สะบัดมือออกจากคนที่เป็นอดีต ไม่คิดไม่ฝันจะวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบสองปี
“คิดว่าอยากจับเหรอ” เป็นการเจอกันโดยบังเอิญย่อมเป็นผลให้ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก มันนานมากที่ไม่เจอกันเลยแม้รูปร่างหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มาบ้างเล็กน้อยกันทั้งสองฝ่าย ตาหวานยังคงตกอยู่ในอาการประหม่าแดดร้อนๆ ไม่ได้ทำรู้สึกเท่ากับหัวใจที่เต้นระส่ำร้อนเป็นไฟในอก
"มาทำอะไรแถวนี้" ชนินธรเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนเพื่อไม่ให้เหตุการณ์การยืนมองผู้หญิงที่ยังมีหวังว่าสักวันคงได้เจอก็ได้วนกับมาเจอกันจริงๆ
"มาซื้อของ" คนตัวเล็กวิ่งไปเก็บชุดทำงานมันกระเด็นไปอยู่กลางถนนถูกรถหลายคันผ่านไปมาเหยียบจนเนื้อเริ่มขาดลุ่ยออก หยิบชุดทำงานที่อยู่ในถุงออกมาตาหวานถอนหายใจเป็นท้อต้องได้ควักเงินอันน้อยนิดซื้ออีกครั้งแน่
"ขาดหมดเลย" หน้าหงอยคล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อชุดทำงานขาดลุ่ยจนไม่สามารถใส่ทำงานได้ เงินเกือบสามพันหายไปกับตาหมายความว่าต้องกลับเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้ง เงินก็ยิ่งไม่มียังต้องเจอเรื่องเฮงซวยเพราะผู้ชายเฮงซวยที่เธอไม่ปรารถนาอยากเจอมาตลอดสองปี ชนินธรเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดีนัยน์ตาแดงก่ำย่อมรู้ดีว่าต้องร้องไห้แย่งสิ่งของในมือตาหวานตรวจเช็คดูมันเสียหายไปแล้วจริงๆ ยิ่งรองเท้าส้นหลุดจนใส่ไม่ได้
“ชุดทำงานเหรอ เดี๋ยวซื้อให้ใหม่"
"ไม่ต้อง" ดึงกลับมาคืนยัดใส่ถุงอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินออกจากจุดนี้ ทว่าชนินธรคว้าแขนแล้วรั้งไม่ให้ไป ในเมื่อได้เจอกันแล้วจะปล่อยให้เดินจากไปอีกง่ายๆ ได้ยังไง
"จะพาไปซื้อชุดใหม่"
“ก็บอกว่าไม่เป็นไร” ยังยืนยันคำเดิม ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากอดีตแฟนเก่า แต่มันคงไม่เป็นผลชนินธรช้อนคนตัวบางอุ้มพาดบ่าไปที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ตกใจตื่นดิ้นด๊อกแด๊กอยู่บนบ่าหัวห้อยต่องแต่งผมยาวสวยสีดำตกลงตามแรงโน้มถ่วงลากไปกับพื้นถนน
“ปล่อย ฉันนะคุณชนิน” คำพูดคำจาบ่งบอกว่าเขาเป็นคนอื่นไปสำหรับเธอแล้วจริงๆ แต่กระนั้นชนินธรจะไม่เอามาใส่ใจและทำเป็นหูทวนลมอุ้มตาหวานแล้วจับยัดเข้ารถสปอร์ต
“นั่งอยู่เฉยๆ”
“จะพาไปไหน”
“พาไปซื้อของพวกนี้” ชูเสื้อผ้าที่มันขาดขึ้นมาจากนั้นก็โยนมันลงถังขยะสีเหลืองที่ตั้งไว้ริมฟุตบาท ในขณะที่ตาหวานพยายามจะเปิดและดันตัวเองลงจากรถก็ไม่อาจสู้แรงคนตัวโตได้ ทั้งยังถูกขู่หากตาหวานก้าวเท้าลงมา แล้วเขาวิ่งไล่จับทันเมื่อไหร่จะเอาจับมัดไว้รถ 3 วัน 3 คืนและถ้าชนินธรทำจริงหมายความว่างานที่รับปากพี่สาวคนสนิทไว้ก็จะกลายเป็นคนเทงานไปในทันที
ตาหวานนั่งเงียบบนรถหรูคันใหม่ที่ไม่เคยนั่งและเหมือนว่าเจ้าของมันจะเพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่เดือน เมื่อทำอะไรไม่ก็ต้องนั่งนิ่งตัวเกร็งในยามที่ได้กลิ่นตัวอันคุ้นเคย แม้จะไม่ดอมดมมานานก็ยังจำกลิ่นนี้ได้ดี แทนที่ชนินธรจพาเธอไปห้างเดิมที่เพิ่งเลือกซื้อชุดและอยู่ไม่ไกลมาก ทว่ากลับพาไปยังห้างดังหรูและมีผู้คนเดินกันอย่างล้นหลามขึ้นชื่อว่าห้างหรูสินค้าก็ย่อมแพงเป็นธรรมดา ลานจอดชั้นใต้ดินถูกล้อแม็กทรวงสวยเหยียบจองเป็นเจ้าของ
“คราวนี้ลงได้” ไม่ถือว่าเป็นการสั่งแต่เป็นการขอความร่วมมือให้ตาหวานลงจากรถและเดินไปด้วยกันดีๆ มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องลงและให้ความร่วมมือดีๆ ในการเดินชนินธรเป็นฝ่ายเดินตามหลังให้ตาหวานเดินนำหน้าเพราะถ้าคนตัวเล็กเดินตามหลังอาจจะหาทางวิ่งหนีเขาก็ได้
โซนเสื้อผ้าที่เป็นเหมือนบูทเซลล์ตาหวานเลือกเดินโซนนี้เป็นราคาที่จับต้องได้ ทว่าเนื้อผ้าหรือคัตติ้งการตัดเย็บมันไม่ได้เนี้ยบเท่าเสื้อผ้าแบรนด์ ยังไม่ทันที่เธอจะได้หยิบจับออกมาทาบบนตัวชนินธรก็จับต้นแขนเล็กลากเข้าช้อปแบรนด์เนมในทันที
“ลากฉันมาทำไม”
“เลือกเอาเลย จะเอากี่ตัวก็เลือก” เขาผายมือเปิดกว้างให้ตาหวานได้เข้าเลือกอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าผู้หญิงตรงหน้าจะไม่ยอมเช่นกัน ตาหวานมองหน้าและตั้งใจจะเดินออก
“คุณผู้หญิงเชิญเลือกดูได้เลยค่ะ” พนักงานร้านที่เป็นผู้หญิงกล่าวทักทายสวัสดีต้อนรับจนตาหวานเกรงใจ การเดินกลับเข้ามาในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะชนินธรแต่เพราะการเซอร์วิสของพนักงานที่มันดีเยี่ยมจนเธอเองทำตัวไม่ถูก เดินไปทางไหนพนักงานก็อำนวยความสะดวกให้ทางนั้นหยิบอะไรพนักงานก็ช่วยหยิบจนเคอะเขินไปทุกอริยบท
“ขอเป็นกระโปรงทรงนี้สองตัวและเสื้อตัวนี้สองตัวเหมือนกันค่ะ” เอ่ยเสียงแผ่วๆ อย่างเกรงใจ อีกทั้งราคาบนป้ายก็ตัวละ 5 พัน ยังไม่รวมรองเท้าหุ้มส้นอีก 1 คู่
“เอาอย่างละ 3 รองเท้า 2 และกระเป๋าใบนี้ด้วย” ชนินธรนั่งชี้และให้พนักงานหยิบ ทั้งหมดนี้คือของที่เขาต้องการซื้อให้เธอคืน
“ฉันไม่เอากระเป๋า”
“เอาไปเถอะ น่าจะได้ใช้” ความจริงคืออยากซื้อให้เฉยๆ ตาหวานจะใช้หรือไม่ใช้ก็เป็นเรื่องของเธอ
เมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องรับมันอย่างจำยอมแม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าไม่สบายใจมากนักที่ต้องรับของมีมูลค่าเป็นเงินหลายบาทขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่ิอก่อนตาหวานคงไม่ปฏิเสธแต่ตอนนี้เธอกับเขาเป็นแค่คนรู้จักกันการรับของจากใครสักคนคงต้องคิดให้ดี แต่ทว่าในครั้งนี้เหตุเกิดจากอุบัติเหตุที่ชนินธรต้องรับผิดชอบ
“ได้ของครบแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”
“ดูหนังกันไหม” เป็นคำชวนที่ทำชนินธรประหม่าพอสมควร แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล และแม้การชวนดูหนังจะไม่เป็นผลก็เปลี่ยนเป็นการชวนไปกินข้าวมื้อเที่ยงเพราะในเวลานี้มันก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งแล้ว
“ไม่เป็น.. “พูดยังไม่จบประโยคข้อมือเล็กก็ถูกดึงจนตัวโยกตามแรงของอีกฝ่าย นับแทบไม่ถ้วนวันนี้ตาหวานถูกชนินธรลากไปลากมากี่รอบกันแล้ว
ร้านข้าวมันไก่
“ข้าวมันไก่ไม่เอาเลือด 2 จานครับ” ชนินธรตะโกนสั่งข้าวมันไก่ไม่เอาเลือดเป็นผลให้ตาหวานนั่งเงียบเม้มปากหายใจติดขัดเพราะปกติแล้วเธอไม่ชอบการกินเลือดไม่ว่าจะหมูหรือไก่หรือในอาหารประเภทไหนก็ตาม อาหารจานเดียววางลงตรงหน้ามีน้ำซุปถ้วยเดียวและถาดน้ำจิ้มวางคู่มา แตงกวาที่อยู่บนจานของตาหวานชนินธรตักมันออกมาใส่จานตัวเองโดยไม่ขออนุญาต ตาหวานไม่ชอบกินแตงกวา การกระทำของคนตรงหน้ายิ่งทำให้เธอประหม่าไปใหญ่
“กินสิ” สั่งให้เธอตักข้าวใส่ปากในขณะที่ตัวเองตักกินไปครึ่งจานตาหวานก็ยังมองเม็ดข้าวอยู่แบบนั้น
“….”
“ถ้าไม่กินจะป้อน” เป็นผลให้ตาหวานคว้าช้อนและจ้วงข้าวมันไก่เข้าปากในทันที แม้ชนินธรจะอดอมยิ้มกับคนตรงหน้าไม่ได้ก็ต้องทำเป็นเฉยและก้มหน้าซดน้ำซุปร้อนๆ เข้าปากเพื่อให้ตาหวานได้กินข้าวอย่างสบายใจ บนโต๊ะเหล็กสีแดงไม่มีบทสนทนาอะไรนอกจากเสียงเคี้ยวแต่มันก็ทำให้ชนินธรรู้สึกดีไปเองฝ่ายเดียว อย่างน้อยก็ได้เจอหน้าผู้หญิงที่คร่ำครวญหามาตลอดสองปี
จานข้าวเกลี้ยงหมดทุกเม็ด ชนินธรเดินไปจ่ายเงินด้านในไม่ถึง 2 นาที่ที่เขาหันหลังให้ตาหวาน พอหันกลับมาคนที่นั่งกินข้าวด้วยกันสักครู่ก็หายไปแล้ว ตาหวานแอบซิ่งหนีออกไปโดยที่ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าเธอวิ่งหายไปทางไหน
“…” มองซ้ายมองหาคนตัวบาง ทว่าหัวเสียเมื่อปล่อยให้ตาหวานหลุดมือไปแบบยังไม่รู้เลยว่าบ้านอยู่ไหนทั้งตั้งใจจะขอเบอร์ไว้ติดต่อก็พลาดจนได้
“ไวฉิบ อย่าให้ได้เจออีกนะ คราวนี้ไม่ปล่อยแน่”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!