Horror Story เรื่องเล่าสยองขวัญ
                                                        เรื่องสยองขวัญเรื่องที่ 1
                    
        ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเรายังอายุได้ประมาณ 8 ขวบ เรากับครอบครัวขึ้นอีสานเพื่อจะไปหาญาติเนื่องจากช่วงนั้นตรงกับวันหยุดพอดี
 
        บวกกับย่าของเราป่วยด้วยเลยถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมท่านเสียเลย จากกรุงเทพถึงบ้านย่าใช่เวลากว่าเกือบวันเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดจราจรเลยหนาแน่นเป็นพิเศษ
 
        ตอนประมาณช่วงห้าโมงเย็นเรามาถึงตำบลหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านย่า ก่อนแวะเข้าบ้านเราได้แวะวัดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ก่อนที่จะถึงบ้านประมาณ 3 กิโล
 
        วัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดดังประจำจังหวัด พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างมากเรียกได้ว่าสามารถจอดรถได้เป็นร้อยๆคันก็ยังได้เลย
 
        เราใช้เวลาในการแวะไหว้พระกว่าครึ่งชั่วโมงจนเสร็จสรรพก็เดินทางออกจากวัดตรงไปยังบ้านย่า ระหว่างทางที่เรากำลังชื่นชมกับบรรยากาศจู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
 
        หญิงชราในชุดเสื้อคอกระเช้าสวมผ้าถุงสีแดงเข้มลายดอกกำลังเดินก้มอย่างสาวเท้าอย่างช้าๆที่ริมฟุตบาท
 
        เรามองตามขณะรถที่แล่นอยู่ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นพร้อมกับค่อยๆฉีกยิ้มส่งให้ฉัน
 
        ตอนนั้นเรากลัวมากเลยรีบหันกลับก่อนจะซุกหน้าตัวเองลงกับตุ๊กตาด้วยความกลัว ตอนแรกเราก็กะจะบอกพ่อกับแม่นะแต่ประโยคหนึ่งของยายก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า
 
        แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังเด็กมากเลยไม่รู้ว่านั่นคือผีหรือคนกันแน่
 
        สุดท้ายเราเลยเลือกที่จะเงียบไปก่อนเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่กลัวไปด้วย
 
        พอมาถึงบ้านย่าเราก็สวัสดีญาติผู้ใหญ่ตามปกติ เมื่อจัดการเก็บข้าวของขึ้นบ้านเสร็จสรรพเราก็ลงมาเล่นกับเจ้าดินหมาพันธุ์โกลเด้นที่อายุ 6 เดือนที่กองทรายข้างบ้านเหมือนอย่างทุกครั้ง
 
        เราเล่นกับเจ้าดินอยู่นับชั่วโมงจนฟ้าเริ่มมืด ย่าก็ลงมาตามให้เรากับเจ้าดินขึ้นบ้าน
 
        
        ย่า
ทราย เจ้าดิน ขึ้นบ้านได้แล้วลูก
 
        เมื่อเจ้าดินได้ยินย่าเรียกมันก็กระดิกหางขึ้นบ้านไปทันทีส่วนเราก็ลุกขึ้นปัดทรายที่อยู่ตามตัวก่อนจะเดินตามขึ้นไป
 
        ระหว่างที่เรากำลังจะเดินขึ้นบ้านจู่ๆสายตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่หลังบ้าน
 
        เราหยุดเดินและพยายามชะเง้อมองเห็นเป็นปลายผ้าถุงสีแดงเข้มลายดอกผ่านๆก่อนที่เราจะพยายามหรี่ตามองให้ชัดแต่พอรู้ตัวอีกทีมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว
 
        แต่ด้วยความเป็นเด็กบวกกับความขี้สงสัยมันทำให้เราเกือบจะเดินตามไปดูแล้วแต่ย่าก็เรียกเอาไว้ก่อนจะเดินมาลากเราให้ขึ้นบ้านไป
 
        เวลาล่วงเลยไปจนมาถึงตอนดึก ตอนนั้นเป็นเวลาสามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว
 
        ทุกคนในบ้านเริ่มทยอยหลับกันหมดเหลือแต่เราที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน ระหว่างที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนจู่ๆก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา
 
        เราวางหนังสือลงกับที่นอนแล้วมุดออกจากมุ้งก่อนจะค่อยๆปีนลงจากที่นอนและเดินไปเปิดประตูอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นที่กำลังนอนอยู่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเราก็เดินตรงไปยังประตูหลังบ้านค่อยๆเปิดแง้มประตูให้เบาที่สุดเพื่อออกไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังบ้าน
 
        เมื่อออกมาจากตัวบ้านสายตาเรากวาดมองรอบๆพบว่าบรรยากาศในตอนกลางคืนมันเงียบสงบและมืดมาก มีแค่เพียงไฟสลัวติดๆดับๆดวงเดียวที่ติดอยู่หลังบ้านเท่านั้นที่คอยให้ความสว่าง
 
        บอกตามตรงว่าตอนนั้นเราคิดจะวิ่งกลับเข้าไปแล้วเรียกพ่อให้มาอยู่เป็นเพื่อนแล้วด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราปวดฉี่มากแทบจะอั้นไว้ไม่อยู่แล้วเลยตัดสินใจรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะได้ทำกิจให้มันเสร็จๆแล้วเข้านอน
 
        พอเดินมาถึงห้องน้ำเราก็ค่อยๆเปิดอย่างเบามือที่สุด เนื่องจากตัวประตูเป็นสังกะสีเลยกลัวว่าถ้าเปิดดังแล้วคนในบ้านจะตื่นเอาได้
 
        เราทำกิจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเสร็จสรรพก็ราดน้ำตัดการตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตูแต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังลอดเข้ามา
 
        มันเป็นเสียงของไก่ที่กำลังร้องโหยหวนเหมือนราวกับว่ามันกำลังจะโดนเชือดอย่างไงอย่างนั้นเลย ในตอนนั้นด้วยความกลัวมากเลยจะรีบไปเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าบ้านแต่จู่ๆก็ต้องชะงักลงเมื่อหางตาดันไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
 
        แสงไฟสีแดงกระพริบวูบวาบที่อยู่ไม่ไกลห่างลอดผ่านช่องด้านบนของห้องน้ำก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวซ้ายขวาอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยความกลัวบวกกับความขี้สงสัยเราเลือกที่จะถอยจากประตูก่อนจะปีนขึ้นไปบนโถส้วมสอดส่องผ่านช่องลมของห้องน้ำเพื่อดูว่าแสงไฟสีแดงนั่นมันคืออะไรกันแน่
 
        ไฟสีแดงนั่นมันอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักแต่ด้วยความมืดและเหมือนไฟนั่นมันอยู่ในป่าเลยทำให้เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดมันได้
 
        เราพยายามหรี่ตาเพ่งมองมันอยู่นานสองนานไฟสีแดงนั่นก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง มันค่อยๆลอยเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนเห็นใบหน้าของใครบางคนได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของหญิงชราผมยาวฟูฟ่องปากเต็มไปด้วยคราบสีแดงที่เหมือนเลือดและที่น่าตกใจไปกว่านั้น เธอมีแค่หัวกับไส้เนี่ยสิ!!!
 
        ณ วินาทีนั้นเราช็อคมากจนทำอะไรไม่ถูกเลย เรารับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นมันไม่ใช่คนแน่ๆ แต่มันเป็นกระสือ!
 
        พอรู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับร่างกายที่สั่นกลัวไปหมด แต่ถึงแบบนั้นเราก็พยายามตั้งสติให้ได้เพราะเราก็ไม่อยากโดนกินเหมือนไก่พวกนั้นหรอก
 
        พอเริ่มได้สติเราก็หดหัวลงมาก่อนจะมองหาที่ซ่อนเพราะถ้าออกจากห้องน้ำตอนนี้ยังไงก็โดนเจอแน่ๆ สายตาเหลือบไปเห็นโอ่งใส่น้ำที่อยู่ข้างๆก่อนจะเห็นว่าด้านหลังโอ่งนั่นพอจะมีที่ให้ลงไปซ่อนได้บ้าง เราไม่รีรอรีบมุดลงไปซ่อนตัวยังพื้นที่ว่างด้านหลังโอ่งทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบฝาโอ่งมาปิดด้านบนเพื่อบังตัวเอาไว้ด้วย 
 
        เสียงหวีดร้องใกล้เข้ามาเรื่อยพร้อมกับแสงไฟสีแดงจากนั่นจนมันก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่ข้างห้องน้ำ เราเหลือบตามองผ่านช่องว่างระหว่างตัวโอ่งพบว่าเจ้ากระสือตนนั้นมันกำลังมองลอดผ่านช่องลมมาที่ด้านใน สายตาของมันกวาดมองไปทั่วพร้อมกับเปล่งเสียงร้องกวีดออกมาเรื่อยๆ ในตอนนั้นเรากลัวจนสติแทบไม่เหลือแล้ว
 
        เสียงหวีดร้องยังคงดังต่อเนื่องและเหมือนมันจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรานั่งขดตัวซุกหน้ากับเข่าพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ไม่ให้เล็ดลอดออกไปเลยแม้แต่น้อยพลางยกมือปิดหูแน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงนั้น
 
        แสงไฟสีแดงยังคงลอดผ่านช่องลมให้เห็นอยู่เป็นระยะจนในที่สุดแสงนั้นก็หายไป
 
        เราที่ซุกหน้ากับเข้าเมื่อเห็นว่าแสงไฟสีแดงนั่นหายไปแล้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาสอดส่องสายตาผ่านช่องที่ซ่อนตัวมองไปรอบๆเหมือนว่ากระสือตัวนั้นจะออกห่างไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ลุกไปไหนด้วยความกลัวเราเลยตัดสินใจนั่งอยู่ที่ตรงนั้นทั้งคืน
 
        รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้วไม่รู้ว่าหลับไปเมื่อไหร่ เสียงตะโกนเรียกหาจากด้านนอกทำให้เราตื่น เราเงยหน้าก่อนจะลุกออกจากที่ซ่อนเปิดประตูออกจากห้องน้ำพบว่าเป็นแม่
 
        เรารีบวิ่งไปกอดก่อนจะร้องไห้ออกมา แม่อุ้มเราเข้าบ้านก่อนเราจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง
 
        พอเล่าจบทุกคนต่างทำสีหน้าตกใจเหมือนจะไม่เชื่อ ต่างจากย่าที่มีสีหน้านิ่งเรียบเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะมีเหตุการณ์นี้ขึ้น ย่าเดินตรงมาหาเราที่นั่งอยู่บนตักของแม่ยกมือลูบหัวก่อนจะใส่สร้อยพระไว้ที่คอเรา
 
        
        ย่า
ใส่สร้อยพระนี้ไว้ มันจะได้ทำอะไรเราไม่ได้
 
        เรามองสร้อยพระที่อยู่ในคอพลางสะอื้นน้ำตาก่อนจะพยักหน้า ณ เวลานั้นเราไม่รู้ต้องทำยังไงต่อนอกจากเชื่อในสิ่งที่ย่าพูดและใช้ชีวิตตามปกติ
 
        ผ่านมาสองวันเรายังคงอยู่บ้านย่าต่อ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเราก็ไม่ออกจากบ้านด้วยตัวคนเดียวอีกเลย
 
        ในวันนั้นช่วงเช้าเป็นวันพระเรากับครอบครัวพากันไปทำบุญที่วัดจากนั้นก็กลับมาที่บ้าน ในวันนั้นเราใช้ชีวิตตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นจนกระทั่งตกดึก
 
        ในคืนนั้นตอนช่วงเวลาสามทุ่มกว่าเรานั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในห้องนอน
 
        ระหว่างนั้นจู่ๆเราก็ได้ยินเสียงกุกกักๆจากนอกหน้าต่าง ในตอนแรกเราก็กลัวนะแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าเลยตัดสินใจชะเง้อหน้าออกไปดู
 
        ทันทีที่เราโผล่หัวพ้นออกจากหน้าต่างทันใดนั้นเองกระสือหญิงชราก็โผล่มาตรงหน้าทันที
 
        เราตกใจสุดขีดรีบรุดถอยหลังหมายจะวิ่งออกจากห้องแต่ก็ถูกกระสือตนนั้นใช้ไส้รั้งขาเราเอาไว้ ตอนนั้นเรากลัวมากร้องไห้กรีดร้องจนสุดเสียงแต่ไม่ว่าจะร้องดังขนาดไหนก็ไม่มีใครได้ยินเลย จนสุดท้ายเราก็ถูกกระสือตนนั้นดึงออกจากหน้าต่างไป
 
        ลำตัวถูกลากไปตามพื้นพยายามใช้มือตะเกียกตะกายหาที่ยึดแต่ด้วยแรงอันน้อยนิดทำให้เราไม่สามารถยึดจับอะไรได้เลย
 
        เราถูกลากจนมาหยุดในที่ที่หนึ่ง เงยมองรอบๆมันเป็นเหมือนกระท่อมไม้ที่อยู่ในป่า กระสือยายแก่ลอยอยู่รอบๆตัวพร้อมกับเสียงหวีดร้องที่ดังมาเป็นระยะ เราร้องไห้สั่นกลัวพร้อมกรีดร้อง
 
        
        ทราย
ฮือ!!!!! ปล่อยหนู!!!!
 
        แต่พอยิ่งเราร้องกระสือตนนั้นก็ยิ่งหวีดร้องดังขึ้น มันลอยเข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบชิดพร้อมกับใช้ลิ้นที่ยาวเหยียดเลียที่ใบหน้าของเราอย่างช้าๆก่อนที่มันจะกรีดร้องจนสุดเสียง
 
        ในตอนนั้นเราคิดว่าต้องตายแน่ๆจึงเลือกที่จะหลับตาปี๋เพื่อรับชะตากรรม
 
        เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผีกระสือตรงหน้าก่อนจะมีเสียงของคนหลายคนดังขึ้นมาทำให้เราลืมตามอง
 
        
        อ.ธงชัย
ฉันว่าแล้วต้องเป็นแก ยายแสน
 
        ชายวัยกลางคนในชุดสีขาวที่เหมือนกับหมอผีพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคนหนึ่งในนั้นวิ่งเข้ามาอุ้มเราออกมาจากที่ตรงนั้น
 
        
        อ.ธงชัย
อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัวนัก งั้นก็ตายมันซะตรงนี้เลยลกัน!!!
 
        เมื่อหมอผีพูดจบเขาก็จัดการหยิบปืนลูกซองขึ้นมาเอ่ยคาถาก่อนจะลั่นไก่ยิงเข้าขั้วหัวใจของกระสือตนนั้นทันที
 
        กระสือยายแสนกรีดร้องพร้อมกับดิ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดินและแน่นิ่งไป เมื่อเห็นว่ากระสือยายแสนแน่นิ่งแล้วหมอผีทำการเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะก้มลงเอาสายศิลป์พันไว้พร้อมกับร่ายคาถาอาคมเพื่อป้องกันไม่ให้กระสือยายแสนลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหันมาสั่งลูกน้องว่า
 
        
        อ.ธงชัย
มึงสองคนไปกับกู ส่วนมึงดูเด็กไว้
 
        หมอผีสั่งการเสร็จก็เดินนำขึ้นกระท่อมไป พวกเขาหายไปอยู่ครู่ก่อนจะออกมาพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ดูคุ้นเคย
 
        ทันทีที่ลูกน้องหมอผีวางร่างนั้นลงกับพื้นเราถึงกับร้องไห้ออกมาอีกรอบเพราะร่างนั้นไร้ศรีษะตามตัวเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
 
        เราที่เห็นแบบนั้นถึงกับร้องไห้ออกมาอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาเพื่อไม่ให้เห็นมันอีก แต่ถึงแบบนั้นจนถึงวันนี้ภาพนั้นก็ยังติดตาเราไม่หายเลย
 
        หมอผีเริ่มทำพิธีนำร่างและศรีษะลงไปในหลุมที่ได้ขุดเอาไว้ ก่อนจะหยิบมีดหมอขึ้นมาสวดคาถาและแทงมันลงไปที่กลางหัวใจของยายแสน
 
        จู่ๆก็มีลมพัดแรงที่มาพร้อมกับเสียงหมาหอนดังกระหึ่มไปทั่วป่า ทันใดนั้นเองกระสือยายแสนก็ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกรีดร้องด้วยเสียงที่น่ากลัวกว่าเดิม
 
        กระสือยายแสนพุ่งเข้าใส่พวกของหมอผีอย่างรวดเร็วทำให้ลูกน้องของเขาล้มกันระเนระนาด ในจังหวะที่เรายืนตัวสั่นทันใดนั้นเองกระสือยายแสนก็พุ่งเข้ามาใช้ไส้จับขาเราลอยขึ้นเหนือพื้นดินทันที
 
        เรากรีดร้องจนสุดเสียงด้วยความกลัวพยายามดิ้นให้หลุดออกจากการจับกุมแต่ไม่ว่าจะดิ้นสักเท่าไหร่มันก็เหมือนจะรัดกว่าเดิมขึ้นทุกที
 
        
        อ.ธงชัย
ฤทธิ์เยอะนักนะมึง!!
 
        หมอผีตะโกนต่อว่ากระสือยายแสนที่ยังคงแผงฤทธิ์อย่างต่อเนื่องก่อนที่เขาจะหยิบมีดขึ้นมาร่ายคาถาและจัดการปามีดเข้าปักลงตรงกลางหัวใจของยายแสนทันที ในช่วงจังหวะที่ยายแสนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้เราถูกเหวี่ยงลงพื้นก่อนจะกลิ้งหลุนๆไปกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
 
        แสงไฟสีแดงที่หัวใจของยายแสนค่อยหรี่ลงเรื่อยจนดับลงพร้อมกับศรีษะที่ค่อยๆร่วงสู่พื้นอย่างช้าไม่นานนักไฟสีแดงที่เคยกระพริบอยู่ก็ดับไปพร้อมกับยายแสนที่มีเพียงหัวกับไส้ก็แน่นิ่งลง 
 
        หมอผีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหยิบศรีษะของยายแสนเอาไปวางไว้ในหลุมที่มี่ร่างของเธออยู่
 
        เราถูกพยุงขึ้นจากพื้นโดยหนึ่งในลูกน้องของหมอผีก่อนจะเดินกระเผลกไปยังตรงที่ทำพิธี หมอพิธีจัดการร่ายคาถาก่อนจะโรยอะไรบางอย่างทั่วร่างก่อนจะฝังศพเป็นอันเสร็จพิธี
 
        หลังจากทำพิธีเสร็จสรรพหมอผีก็พาเรามาส่งยังที่บ้าน ทันทีที่เจอกับครอบครัวทุกคนต่างตื่นตกใจพร้อมกับถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
 
        หมอผีเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครอบครัวของเราฟังก่อนจะมอบสายศิลป์และตระกรุดอันหนึ่งไว้ให้เรา
 
        
        อ.ธงชัย
สายศิลป์กับตระกรุดที่ข้าให้ไว้เอ็งห้ามถอดมันเด็ดขาด เพราะมันจะช่วยปัดเป่าสิ่งช่วยร้ายไม่ให้มารุกราน
 
        ในตอนนั้นเราก็ไม่เชื่อหรอกคงเพราะยังเด็กมากด้วยแต่เพราะความกลัวจากเหตุการณ์ที่พึ่งเจอมาหมาดๆเลยทำให้เราไม่กล้าถอดสายศิลป์กับตระกรุดออกจนถึงปัจจุบัน
 
        หลังจากวันนั้นเหตุการณ์ในหมู่บ้านก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งและเรื่องราวของกระสือยายแสนก็กลายเป็นตำนานมาจนจวบทุกวันนี้
 เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 2
                    
        เสียงนาฬิกาดังขึ้นปลุกให้ผมตื่น ผมเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่บนหัวนอนมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ปลายเตียง เข็มเวลาชี้บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตี 2 ครึ่งแล้ว
 
        ผมลุกออกจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปหาปลา เมื่อจัดการเสร็จสรรพเตรียมของเรียบร้อยผมก็ออกรถออกจากบ้านทันที
 
        จากบ้านมาถึงแม่น้ำใช้เวลาเพียงห้านาที ผมถอยรถจอดจนสนิทก่อนจะหยิบของสำหรับการตกปลาออกจากรถ
 
        ผมเดินลงไปตามทางลาดริมแม่น้ำก่อนจะวางของลงบนพื้นหญ้า หยิบแหขึ้นมาติดเหยื่อเพื่อเตรียมที่จะทอดแห พอเตรียมเสร็จผมก็ขยับเดินไปใกล้ที่ริมแม่น้ำก่อนจะทำการหว่านแหลงไปในแม่น้ำ
 
        เมื่อทำการหว่านแหเสร็จสรรพต่อไปผมก็หันไปเตรียมเบ็ดสำหรับตกปลา ระหว่างที่กำลังเตรียมเบ็ดตกปลานั้นผมก็สายตากวาดมองไปรอบๆ บรรยากาศโดยรอบมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟคอยให้แสงสว่าง อย่างว่าตอนนี้มันตี 3 นี่นะ จะดูน่ากลัวก็ไม่แปลก
 
        ผมโยนเบ็ดลงแม่น้ำก่อนจะวางคันเบ็ดลงที่พื้นและหาเชือกมัดกับไม้ที่เคยเสียบไว้อยู่ก่อนแล้วเพื่อไม่ให้คันเบ็ดขยับ ผมทำแบบนี้จนคันเบ็ดที่เตรียมมาครบก่อนจะหย่อนตัวลงบนถังน้ำเพื่อรอเวลา
 
        ระหว่างนั้นผมก็เปิดเพลงคลอเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบๆมันเงียบเกินไป ผมนั่งฮัมเพลงรอเวลาที่เหยื่อจะติดเบ็ดพลางกวาดสายตามองรอบๆ
 
        แม่น้ำนี้เป็นที่ที่เหล่าคนหาปลาชอบมารวมตัวกัน โดยปกติเวลาที่คนจะมาตกปลาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเช้าไปจนถึงช่วงค่ำ ซึ่งต่างจากผมที่เลือกมาหาในช่วงเวลาเช้ามืดแทน
 
        เหตุผลก็เพราะในช่วงเวลานี้ไม่มีคนมาหาปลาและไม่ต้องไปแย่งใครด้วย อีกอย่างปลาที่ตกได้จะต้องเอาไปขายในช่วง 7 โมงเช้าผมเลยเลือกเวลาเช้ามืดในการหาปลาเพื่อที่ปลาของผมจะได้สดใหม่อยู่เสมอ
 
        เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีปลาเริ่มกินเหยื่อ ผมจัดการเก็บปลาที่ตกได้ใส่ถังน้ำที่เตรียมเอาไว้จากนั้นก็หันไปเปลี่ยนเหยื่อเพื่อตกปลาต่อ
 
        ขณะที่ผมกำลังเตรียมเบ็ดตกปลานั้นสายตาก็เหลือบเห็นบางอย่างที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ ผมเพ่งสายตามองมันเหมือนเป็นเงาคนสีดำกำลังยืนอยู่ที่เสาตอม่อแล้วจู่ๆมันก็หายวับไป
 
        ผมชะงักเล็กน้อยแอบลอบกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ ผมหยิบไฟฉายสาดส่องไปที่ตอม่อก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ ผมสาดไฟฉายไปทั่วบริเวณจู่ๆก็มีใครบางคนเดินออกมาจากหลังตอม่อ ชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับผมในชุดเสื้อเชิ้ตลายพรางผิวเข้มออกซีดขนาดตัวสูงใหญ่กว่าผมเล็กน้อย
 
        ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ผมสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาดูไม่เหมือนผีสางแต่อย่างใด คงจะเป็นคนที่อยู่แถวนี้ไม่ก็มาตกปลาเหมือนอย่างผมนั่นแหละ
 
        ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเดินกลับมายังที่ตัวเองโดยมีชายคนนั้นเดินตามมาติดๆ ผมนั่งลงที่พื้นตามด้วยเขาที่นั่งลงข้างๆ ผมเหลือบมองเขานั่งนิ่งไม่ไหวติงก่อนผมจะเลือกที่พูดเพื่อทำลายความเงียบ
 
        
        วิน
ผมชื่อพัน คุณชื่ออะไรหรอ
 
        ยังไม่ทันได้ถามต่อเสียงกระเพื่อมของน้ำทำให้ผมหันไปสนใจ ดูเหมือนว่าปลาจะติดแหแล้ว ผมยันตัวจากพื้นตรงไปจุดที่วางแห ผมสาวแหขึ้นมาพบว่ามีปลาติดแหแค่ตัวเดียวเท่านั้น ผมหยิบปลาตัวนั้นใส่ถังน้ำก่อนจะหว่านแหลงไปอีกครั้ง
 
        ผมหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เดิม เหลือบมองสิงห์ยืนอยู่ที่ริมน้ำ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากคงคิดว่าเขากำลังตกปลาอยู่
 
        เวลาผ่านไปสักพักผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาตอนนี้ตี 4 ครึ่งแล้ว ผมเหลือบมองสิงห์เขายืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำจู่ๆเขาก็เดินลงไปในน้ำ
 
        ผมตะโกนเรียกพร้อมกับเดินตรงดิ่งไปหาสิงห์แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน ผมเดินเข้าไปใกล้พยายามเอื้อมมือจะคว้าเขาแต่พอยิ่งเดินเข้าไปใกล้เขาก็ยิ่งไกลออกไป
 
        ผมเดินตามสิงห์จนนี้ผมอยู่ในระดับน้ำที่สูงจนถึงเอว จู่ๆสิงห์หยุดยืนนิ่งก่อนจะหายลงในน้ำต่อหน้า
 
        ผมตะโกนเรียกครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะตัดสินใจดำน้ำลงไป ผมพยายามจะลืมตามองหาสิงห์ใต้น้ำแต่เพราะความมืดทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำได้
 
        ผมขึ้นจากน้ำหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาสิงห์จู่ๆก็รู้สึกถึงลมเย็นที่ต้นคอ ผมค่อยๆหันหลังอย่างช้าพบกับสิงห์ที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเขาซีดมากไม่เหมือนกับตอนแรกที่เจอกันเลย
 
        
        วิน
สิงห์ คุณเล่นอะไรเนี่ย ผมตกใจหมดเลย
 
        ผมหันไปพูดกับเขาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าสภาพของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม สภาพของสิงห์เหมือนคนขึ้นอืดเพราะดวงตาของเขามันเละเหมือนโดนสัตว์แทะจนน่าดูไม่ได้เลย
 
        ผมหันตัวรีบวิ่งขึ้นบกทันทีแต่ก็ถูกสิงห์จับขาเอาไว้จนผมล้มลงไปในน้ำ ผมพยายามตะเกียกตะกายหนีตายออกมาจนในที่สุดก็หลุดออกมาได้ ผมวิ่งจ้ำเข้าไปในรถโดยก่อนจะสตาร์ทรถเพื่อจะหนีแต่จู่ๆรถมันดันสตาร์ทไม่ติดเนี่ยสิ ผมพยายามบิดแล้วบิดเล่าจนในที่สุดมันก็ติด ผมเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งจนมิดออกจากตรงนั้นทันทีโดยที่ทิ้งของตกปลาเอาไว้
 
        ผมขับออกมาได้ระยะพลางเหลือบมองที่หลังกระจกจนคิดว่ารอดแล้วแน่ๆ ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะหันกลับไปโฟกัสถนน
 
        แต่แล้วผมก็ต้องคิดผิด เพราะจู่ๆสิงห์ก็ยืนดักหน้ารถทำให้ผมเผลอหักพวงมาลัยหลบอัตโนมัติ รถกระบะสีดำหักเลี้ยวลงข้างทางก่อนจะไปชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่แรงกระแทกส่งผลให้หัวของผมกระแทกเข้ากับคอนโทรลหน้ารถอย่างจังๆมิหนำซ้ำต้นไม้ใหญ่ยังล้มลงมาทับรถจนหายไปครึ่งซีกอีก
 
        ผมพยายามขยับตัวคลานออกมาจากตัวรถด้วยแรงที่แทบจะไม่เหลือก่อนจะทิ้งตัวนอนลงอยู่ข้างๆซากรถนั่น สายตาเหลือบเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ผมจำชุดนั้นได้ว่าเป็นสิงห์
 
        
        วิน
สิงห์ ผมไม่เคยทำอะไรคุณเลยนะ ทำไมต้องมาทำกับผมแบบนี้ด้วย
 
        สิงห์ยืนนิ่งไม่ตอบผมแต่กลับเดินมาใกล้ผมแทน เขาหยุดยืนมองผมที่นอนแน่นิ่งจากความเจ็บ ผมรู้แล้วว่าสิงห์ไม่ใช่คน เขาเป็นผี ยอมรับนะว่าตอนแรกที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนผมกลัวมาก ตอนนั้นวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้น ผมก็ยังถือว่าเขาเป็นเพื่อนของผมอยู่แม้จะพึ่งรู้จักกันก็ตาม
 
        
        วิน
ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณโกรธแค้นอะไรผม แต่ถ้าผมทำอะไรผิด หรือไปลบหลู่คุณ ผมก็ขอโทษด้วย
 
        ผมพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้ายก่อนภาพทุกอย่างจะตัดไป
 
        ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันที่โรงพยาบาล ภรรยาของผมบอกว่าตอนช่วงตี 5 กว่าๆมีคนไปพบว่าผมรถชนอยู่แถวแม่น้ำที่ผมไปตกปลา
 
        ซึ่งคนที่พบผมเขาบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อลายพรางผิวสีเข้มซีดโบกรถเขาให้จอดแล้วบอกว่ามีคนขับรถชนต้นไม้แถวนั้น แต่พอเขาไปถึงที่เกิดเหตุชายคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
 
        ผมนึกตามที่ภรรยาเล่าให้ฟังคาดว่าคนที่โบกรถน่าจะเป็นสิงห์แน่ๆ ผมคิดว่าเขาน่าจะสำนึกผิดแล้วหาคนมาช่วยผมแทน
 
        หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมก็กลับไปที่ริมแม่น้ำอีกครั้งพร้อมกับนิมนต์หลวงพ่อเพื่อไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณของสิงห์ที่สิงสถิตอยู่ที่นี่ ระหว่างที่กำลังทำพิธีนั้นผมก็เห็นสิงห์ด้วย เขายืนอยู่ในแม่น้ำก่อนจะค่อยๆหายไป
 
        ผมยันตัวขึ้นจากพื้นก่อนจะหันไปพูดกับหลวงพ่อ
 
        
        วิน
นั่นสิครับหลวงพ่อ จากนี้เขาจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหนาวเหน็บอีกแล้ว
 
        หลังจากเสร็จพิธีผมก็เตรียมตัวที่จะกลับบ้าน จู่ๆก็มีเสียงบางอย่างเรียกผมเอาไว้ ผมหันไปมองที่แม่น้ำแต่ก็พบกับความว่างเปล่า แต่ก็เดาไม่ยากว่านั่นคงเป็นเสียงสุดท้ายของสิงห์ที่มาบอกขอบคุณกับผม
 
        
        วิน
ไปอยู่ในที่ที่ดีนะสิงห์ สักวันเราคงได้เจอกันใหม่
 
        ผมเอ่ยเสร็จก็หันหลังตรงกลับบ้านทันที หากย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนหากผมไม่มาที่นี่ผมก็คงไม่ได้เจอกับสิงห์ ผมคิดว่าการที่เขาทำร้ายผมแบบนั้นอาจจะเพราะกลัวว่าจะถูกรุกรานหรือมาลบหลู่แต่ผมก้ไม่โกรธเขานะ และผมก็ยังคงคิดว่าเขาคือเพื่อนที่ต้องรอให้ใครสักคนมาช่วยปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากวังวนนี้เสียที
 เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 3
                    
        สวัสดีผู้อ่านทุกๆท่าน วันนี้เรากลับมาอยู่กลับกระทู้สยองขวัญอีกเช่นเคย วันนี้เรื่องสยองขวัญที่เราจะเอามาเล่าให้ฟังเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวเลย
 
        เขามีชื่อว่าตินเป็นน้องชายแท้ๆของผม ตินเนี่ยเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเลย ทุกครั้งที่ใครมาเล่าอะไรพวกนี้ให้ฟังมันก็จะบอกทุกครั้งว่าไร้สาระบ้าง เพ้อเจ้อบ้าง
 
        จนกระทั่งวันหนึ่งถ้าผมจำไม่ผิดช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันพระใหญ่ ในช่วงสายหลังจากที่เรากลับมาจากทำบุญที่วัด ผมแม่ยายและตินก็มานั่งกินข้าวรวมกันเหมือนปกติ ในขณะที่เรากำลังกินข้าวอยู่นั้นจู่ๆยายก็ทักขึ้นมาว่า
 
        
        ยาย
ติน วันนี้ยายเจอป้าศรที่เป็นร่างทรง แกมาทักยายมาว่าช่วงนี้จะดวงตก ให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วย
 
        แน่นอนครับว่าตินมันได้ยินแบบนั้นมันก็ไม่เชื่อเหมือนเคย ตินเลยหน้าจากจานข้าวหันไปพูดกับยายว่า
 
        
        วิน
เพ้อเจ้อแล้วยาย ที่ป้าศรมาทักก็เพราะจะหลอกเอาตังอ่ะดิ ดวงตกอะไรกัน ไอ้พวกที่บอกว่าสะเดาะเคราะห์แล้วหายก็แค่หาเรื่องเอาตังก็เท่านั้นแหละ
 
        แม่กับยายส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ เพราะนอกจากตินมันจะไม่เชื่อแล้วมันยังปากไม่ดีชอบพูดพล่อยๆอีก
 
        เวลาผ่านไปวันสองวันมันเป็นช่วงที่ตินจะต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งในการไปทำงานครั้งนี้เขาต้องไปทำงานไกลถึงภาคใต้เลย
 
        พอถึงวันที่เดินทาง ผมจำได้ว่าวันนั้นมันเป็นวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งถ้าพูดกันในตามความเชื่อมันเป็นวันแห่งความโชคร้าย ซึ่งแต่เดิมทีมันเป็นความเชื่อของชาวคริสต์แต่ถึงแบบนั้นคนไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อแบบนั้นด้วยเช่นกัน
 
        วันนั้นก่อนเดินทางเราได้ไปส่งตินที่บริษัท ก่อนจะขึ้นรถแม่ของผมก็ได้ยื่นของบางอย่างให้ตินซึ่งมันคือจี้พระหลวงพ่อวัดดัง แน่นอนครับว่าคนอย่างตินที่เดิมทีก็ไม่ได้เชื่ออยู่แล้ว ตินดันมือของแม่ที่ถือจี้พระอยู่กลับไปก่อนจะบอกว่า
 
        
        วิน
ไม่ล่ะแม่ แม่เก็บเอาไว้เถอะ
 
        
        แม่
ทำไมล่ะลูก ช่วงนี้หนูดวงตกอยู่นะ อย่างน้อยใส่เอาไว้ก็ได้
 
        
        วิน
ดวงตงดวงตกอะไรกันแม่ มันก็แค่ความเชื่อเพ้อเจ้อเท่านั่นแหละ ผมไปล่ะ
 
        ตินพูดตัดบทแม่ก่อนจะเดินจากไป
 
        เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายช่วงโมงตินเดินทางมาถึงที่หมายแล้ว ในระหว่างวันตินก็เข้าทำงานตามปกติ งานที่เขาทำมันเป็นงานวิศกรที่ต้องคอยดูแลงานไซต์ก่อสร้าง ในขณะที่ตินกำลังคุยงานกับทีมอยู่จู่ๆหางตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างผ่านไปที่นอกหน้าต่าง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าคงจะเป็นพวกคนงานนี่แหละ
 
        พอถึงช่วงเวลาหนึ่งทุ่มเป็นเวลาเลิกงาน ตินและพี่ๆพากันกลับที่พัก โดยที่พักที่ตินพักอยู่นั้นเป็นโรงแรมที่ไม่ได้หรูมากและไม่ได้โทรมมาก
 
        ตินจัดการอาบน้ำอาบท่าเตรียมเข้านอน ขณะที่เขากำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงจู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลจากในห้องน้ำ
 
        ตินตัดสินใจลุกจากเตียงตรงไปดูในห้องน้ำพบว่าน้ำในอ่างล้างมือถูกเปิดอยู่ ตินเดินเข้าไปจัดการปิดน้ำก่อนจะเดินกลับมานอนที่เตียงต่อ เขาจำได้นะว่าตอนที่ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเขาปิดน้ำเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
 
        คืนแรกผ่านไปเข้าวันที่สองตินยังคงไปทำงานตามปกติ ในขณะที่เขากำลังตรวจเช็คงานอยู่นั้น จู่ๆก็มีเหล็กกล่องขนาดใหญ่ร่วงมาในบริเวณที่ตินยืนอยู่ โชคดีที่ตินหลบทันเลยไม่บาดเจ็บอะไร
 
        ไม่นานพวกคนต่างก็พากันมาดูยังจุดเกิดเหตุพร้อมกับช่วยพาตินไปนั่งพักในห้องทำงานก่อน ในตอนนั้นหัวใจของเขาสั่นรัวมาก นี่ถ้าเขาไม่หลบคงโดนเหล็กทับตายไปแล้วแน่ๆ
 
        หลังจากนั่งพักเสร็จพี่ที่ทำงานก็ให้ตินกลับไปพักก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาทำงานใหม่ กลับมาถึงที่พักตินถอยรถจอดเข้าซองก่อนจะหยิบสำคัญลงจากรถ
 
        ตินเดินเท้าเพื่อที่จะเข้ายังห้องพัก สายตาของเขาเหลือบไปเห็นแมวดำตัวหนึ่งมันนั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมองมาที่เขา
 
        ตินจ้องมองมันด้วยสิหน้าที่คิ้วขมวด ตินไม่ชอบแมวสักเท่าไหร่ ไม่สิเข้าขั้นเกลียดแมวเลยก็ว่าได้ เพราะตอนเด็กๆเขาเคยโดนแมวกัดตรงแขนข้างขวาเลยทำให้นับแต่นั้นเขาก็เกลียดแมวมาจนถึงทุกวันนี้
 
        จู่ๆแมวดำตัวนั้นก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงมายังทางเขา ตินก้าวถอยหลังพร้อมกับพยายามจะไล่มันออกไปให้ไกลตัว
 
        
        วิน
แมวดำตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆก่อนจะเดินมาเกาะขาของติน ด้วยความตกใจและความไม่ชอบเลยเผลอเตะแมวที่กำลังเกาะขาจนมันกระเด็นไปโดนศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆจนข้าวของคนเอามาไหวร่วงหล่นลงพื้นจนเละ
 
        แมวดำร้องดังลั่นแต่ตินเหมือนจะไม่สน
 
        
        วิน
มึงไม่ต้องมาร้องเลยไอ้แมวเวร!
 
        ตินพูดด้วยความโมโหก่อนจะหันไปหยิบท่อเหล็กที่วางอยู่บนพื้นเดินตรงดิ่งไปตรงที่แมวนอนอยู่ตรงแท่นวางของไหว้ก่อนจะง้างมือฟาดมันลงไปเต็มแรง
 
        แมวดำร้องดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานส่วนตินก็ยังคงตีมันซ้ำๆไม่หยุด จนเสียงร้องของแมวดำเริ่มอ่อนแรงลงและมันก็แน่นิ่งไป เมื่อเห็นว่ามันแน่นิ่งแล้ว ตินปล่อยท่อทิ้งลงกับพื้นก่อนจะหันหลังกลับโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นตายร้ายดียังไง
 
        ตินกลับขึ้นมาบนห้องพักจัดการอาบน้ำตามปกติ ขณะที่เขากำลังอาบน้ำจู่ๆก็ได้ยินเสียงปึงปังจากด้านนอก เขารีบจัดการตัวเองให้เสร็จและรีบออกมาจากห้องน้ำเพื่อมาดูแต่พอตินออกมาแล้วกลับเห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าจากตู้เสื้อผ้าออกไปทางระเบียง มันเป็นเงาสีดำรูปร่างเหมือนจะคล้ายแมวแต่ก็ฟันธงไม่ได้เพราะมันผ่านหน้าไปเร็วมาก
 
        ตินเดินออกไปทางระเบียงจัดการเปิดไฟสอดส่องแต่ก็ไม่พบอะไรเลย เขาเดินกลับเข้าในห้องเตรียมตัวที่จะเข้านอน
 
        เวลาผ่านไปจนถึงช่วงกลางดึก ขณะที่ตินกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงจู่ๆก็เกิดได้ยินเสียงบางอย่างลอยเข้าหู ตินลืมตาตื่นก่อนจะมองไปรอบๆห้องพบบางอย่างอยู่บนตู้เสื้อผ้า มันเป็นเงาดำตะคุ่มเหมือนคนนั่งห้อยขาอยู่บนตู้เสื้อผ้า เขายันตัวขึ้นเอื้อมมือไปเปิดไฟบนหัวนอนแต่ไฟกลับเปิดไม่ติดขึ้นมาซะได้
 
        ตินยังคงคิดว่าเงาดำที่อยู่บนตู้นั้นคือคนแต่หารู้ไม่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย
 
        ตินลุกจากเตียงยืนประจันหน้ากับสิ่งที่อยู่บนตู้ก่อนจะพูดกับสิ่งที่อยู่บนนั้นโดยที่ไม่มีความเกรงกลัว
 
        
        วิน
คุณเป็นใครเนี่ย เข้ามาในห้องผมได้ยังไง
 
        เงาดำนั่นไม่ได้ตอบตินกลับไป มันเงียบสนิท ตนที่เริ่มจะโมโหเขาหันไปยกหูโทรศัพท์ของโรงแรมเพื่อจะโทรเรียกพนักงานให้มาจัดการ แต่ทันทีที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาจู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากทางด้านหลัง
 
        ตินวางโทรศัพท์ก่อนจะค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ เงาดำนั่นค่อยๆหันหน้ามาอย่างช้าๆให้เห็นดวงตาสีขาวก่อนจะมันจะกรี๊ดออกมาอย่างสุดเสียงและกระโจนพุ่งเข้ามาจนตินล้มลงไปกับพื้น
 
        เงาดำนั่นทับบนตัวเขาจนแทบจะขยับไม่ได้ ใบหน้าของมันค่อยขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนทำให้เขาสามารถเห็นดวงตานั่นได้อย่างชัดเจน
 
        แต่ที่หน้าตกใจคือตาของมันไม่เหมือนของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ดวงตาโตสีขาวนัยน์ตาดำมีลักษณะเป็นวงรียาวดูแล้วเหมือนตาของแมวไม่มีผิดเลย
 
        
        แมวผี
มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู ฮือ!!
 
        เงาดำเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวด จู่ๆภาพบางอย่างก็แสดงขึ้นในหัว ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่ตินได้ทำการฆ่าแมวไปที่ศาลด้านหน้าของโรงแรม ภาพนั้นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งตรงหน้าก็คือแมวตัวนั้น แมวดำที่เขาพึ่งฆ่าไปนั่นเอง
 
        วินาทีที่ตินกำลังช็อคจู่ๆเงาดำนั่นก็กรีดร้องโหยหวนก่อนมันจะเอื้อมมือมากระชากคอเสื้อของตินขึ้นมาก่อนจะกระแทกหัวของมันเข้ากับหัวของตินอย่างแรง
 
        ตินร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เงาดำนั่นมันไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมันใช้หัวของมันกระแทกลงมาซ้ำๆ ไม่พอมันจะยังใช้แขนทุบทั้งสองข้างทุบเข้าที่หน้าท้องและเอวของเขา ตินพยายามดิ้นแต่ไม่ว่าจะพยายามยังเขาก็ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ จนในที่สุดเงาดำนั่นก็หยุดลงก่อนมันจะหายจากไป
 
        ในตอนเช้าพี่ที่ทำงานมาหาเขาในห้องพักเพราะเห็นว่าตินไม่ไปทำงานสักที ทันทีที่พวกเขามาถึงก็ต้องตกใจเพราะสภาพที่พวกเห็นก็คือตินในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ลมหายใจของเขาโรยรินมาก
 
        พี่ที่ทำงานพาตินส่งโรงพยาบาลเพื่ทำการรักษา คุณหมอบอกว่าศีรษะของตินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง กระดูกช่วงท้องแตกหักจนแทบไม่เหลืออวัยวะภายในเสียหายจนเข้าระดับร้ายแรง
 
        คุณหมอบอกว่าโอกาสรอดของตินมีน้อยมากหรือต่อให้รอดตินก็จะไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้เพราะเส้นประสาทและอวัยวะสำคัญถูกทำลายแล้ว
 
        ในตอนนั้นแม่กับผมและญาติๆช่วยกันหาหมอที่สามารถรักษาตินได้แต่กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาไปปีกว่า เราหมดเงินรักษาไปกว่าหลักล้านแต่โชคดีที่ตินพอมีเงินอยู่เลยไม่มีผลกระทบอะไรมาก
 
        หลังจากที่ตินรักษาหายดีเขาก็กลับมาอยู่ที่บ้าน อย่างที่หมอบอกครับว่าถ้าหากตินรอดเขาก็จะไม่สามารถมีชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นได้
 
        ร่างกายและสมองของตินกลายเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่เขาเห็นศาลเจ้าหรือเห็นแมวเขาจะมีอาการหวาดกลัวจนสติแตกไปเลย
 
        ผมคิดว่านี่คงจะเป็นผลจากกรรมที่เขาทำเอาไว้ เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้ไปจนกว่าจะตาย
 
                    เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!
                    