NovelToon NovelToon

ฝ่าบาทเพคะ

1.รัชทายาท

...****************...

...คำเตือน...

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะเจาะจงหรือพาดพิงให้ใครหรือสถานที่ใดเสียหายแต่อย่างใด นิยายเรื่องนี้บางอย่างก็มีผิดพลาดหรือแปลกไปจากเดิม เนื่องจากเราแต่งเติมขึ้นมาเองไม่ได้มีอยู่ในความจริงทางประวัติศาสตร์ ถ้าคำบางคำพิมพ์ผิดก็ขออภัยทุกท่าน นิยายเรื่องนี้อาจมีคำพูดการกระทำบางอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือรุนแรงเกินไป ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้กรุณาอ่านเพื่อความบันเทิง ความสนุกสนาน ถ้าอ่านแล้วชื่นชอบเราก็ขอขอบคุณ แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบส่วนไหนหรือตรงไหนก็ขออภัยทุกท่าน และเข้าใจหากจะไม่ต้องการอ่านต่อ ขอให้ทุกท่านอ่านอย่างมีความสุข

.

.

.

ฟุบ

เสียงร่างชายชราวัย 67ปี ล้มนอนลงไปบนพื้น ร่างกายส่วนหน้าท้องค่อยๆมีของเหลวสีแดงไหลออกมา ดาบที่เปื้อนของเหลวสีแดงถูกเช็ดด้วยมือของชายหนุ่มวัย 22 ปี ดวงตาเขานั้นจ้องมองอีกฝ่ายไร้ลมหายใจอยู่นิ่งๆ รามกับไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลืออยู่ในดวงตา ดวงตาของผู้ที่นอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงมองอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยความโกรธเคืองแต่ก็ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้นั้นไม่สามารถทำอะไรได้จึงทำได้เพียงจ้องมองด้วยความโกรธ

:อกตัญญู

ชายวัย67ปี พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการพูดบางสิ่งบางอย่างที่อยากพูดอยู่ในใจออกมา สิ้นคำพูดนั้นลมหายใจก็หายไป ชายร่างสูงค่อยๆแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้

.

อกตัญญู?

.

อยากจะหัวเราะชะมัด

.

ชายหนุ่มเค้นหัวเราะที่ลำคอก่อนที่จะเดินออกไป

.

.

22 ปีก่อน

.

ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวคนหนึ่งวัย17ปี ชื่อ จางรั่วรั่ว ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากการเกิดอาการหน้ามืดขณะเดินลงบันไดจึงทำให้เสียการทรงตัว แล้วตกบันไดลงมา หญิงสาวคนนั้นลืมตาขึ้นมาพบว่าตนเองนั้นอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือรู้จักและพบว่าตนเองนั้นกลายเป็นเด็กทารกชาย ไม่นานก็ทำความเข้าใจกับตนเองและคนที่นี่ได้ แต่นั้นก็กินเวลามาถึง 5 ปี กลายเป็นว่าหญิงสาววัย17ปี นั้นได้กลายมาเป็นองค์ชายลำดับที่1 ของราชวงศ์ถัง นามว่า หลี่หนานไป๋ ซึ่งแม่ของเขาที่เป็นฮองเฮาก็ได้สิ้นใจลงเมื่อคลอด หลี่หนานไป๋ เขาจึงได้ถูกเลี้ยงดูด้วย กุ้ยเฟย ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่เลี้ยงแต่นางก็ดูแลหนานไป๋เป็นอย่างดีเหมือนลูกแท้ๆด้วยเหตุที่ว่านางอายุ30ปีกว่าๆ แต่ยังไม่มีบุตรเลยสักคน

เวลาผ่านไปอีก5 ปี หนานไป๋ก็อายุครบ10 ปี ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี จนกระทั่ง

.

.

วันที่เขาได้ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท

.

หลี่หนานไป๋ได้กลายเป็นองค์ชายรัชทายาท ซึ่งนั่นก็ไม่นับว่าแปลกอะไรเพราะเป็นองค์ชายลำดับที่1 แต่หลังจากนั้นมา ชีวิตของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทั้งอำนาจที่อยู่ในมือ ภาระหน้าที่ ผู้คนที่ปฎิบัติกับเขา และ

.

.

การลอบสังหาร

.

ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่าอำนาจและไหนจะตำแหน่งของเขาอีก ใครๆก็ต้องการที่จะได้ทั้งนั้น เมื่ออยากได้ แต่ไม่ได้ ก็ต้องแย่งชิง

.

ไม่เว้นแต่พี่น้อง

.

แต่นั่นก็ไม่นับเป็นเรื่องที่ผิดแปลกอะไรสำหรับหนานไป๋ เพราะตัวเขาเองนั้นเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีความโลภและความต้องการอะไรบางอย่างกันทั้งนั้น เขาคิดว่าเรื่องพวกนี้คงไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่จะรับมือได้ แต่เขาคิดผิด

วันหนึ่งที่ลานฝึก เสด็จพ่อของหนานไป๋หรือฮ่องเต้ เขาได้เขามาดูการซ้อมฟันดาบของหนานไป๋

:ยังลงแรงที่ดาบได้ไม่มากพอ

:แต่ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่ฝึกซ้อมมา ความเร็วเท่านี้

:ก็นับว่า....ไม่เลว

ฮ่องเต้ได้ตรัสกับหนานไป๋ด้วยแววตานิ่ง ก็ที่หนานไป๋จะได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกตนเอง

:ท่านพี่!!

เสียงนั้นเอ่ยร้องเรียกดังขึ้นมา นั่นคือองค์ชาย6 หลี่เฉิง อีกฝ่ายนั้นวิ่งไปหาผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นท่านพี่ของตนถึงแม้จะไม่ได้มีมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นคนๆเดียวกัน ฮ่องเต้เมื่อเห็นดังนี้ก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม องค์ชาย6เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาตนเองก็รู้ว่าตนเองเผลอเสียมารยาทไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะคาราวะและพูดทักทาย ฮ่องเต้เมื่อเห็นดังนั้นก็พยักหน้าไป ก่อนที่จะปัดมือว่าให้อีกฝ่ายนั้นไปอยู่ทางอื่นก่อน หลี่เฉิงเมื่อเห็นดังนั้นก็เข้าใจ และได้เดินไปยังที่ฝึกอีกด้านหนึ่งแล้วหาเลือกธนูและลูกศรยิง

:ดื่มนี่ซะ

ฮ่องเต้พูดบางอย่างพลางหยิบขวดยาที่บรรจุบางอย่างไว้ หนานไป๋เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกมึนงงและไม่เข้าใจว่าข้างในขวดนั้นคืออะไร แล้วทำไมต้องให้เขาดื่ม

:เสด็จพ่อ นี่คืออะไร?

หนานไป๋ถามขึ้นด้วยความสงสัย ฮ่องเต้ที่เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

:ยาพิษ

หนานไป๋ยืนนิ่งไปชั่วขณะ ในสมองขาวโพลนไม่มีความคิดใดๆ จนสุดท้ายก็เรียบเรียงความคิดและเข้าใจได้

:555เสด็จพ่อ

:ข้าไม่คิดว่าท่านก็มีอารมณ์ขันกับผู้อื่นเช่นกัน

หนานไป๋ได้ข้อสรุป เขาคิดว่าอีกคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าพ่อนั้นได้หยอกล้อเขาเพียงเท่านั้น

.

พ่อแบบไหนจะให้ลูกตนเองดื่มยาพิษ

หนานไป๋ได้คิดเช่นนั้น

:หึ อารมณ์ขันงั้นรึ?

:รัชทายาท

ฮ่องเต้เอ่ยเรียกอีกฝ่าย ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาถูกผู้เป็นพ่อเรียกเช่นนี้ แต่หนานไป๋ก็รู้สึกถึงบางอย่างของผู้เป็นพ่อที่เปลี่ยนไปจากเดิม

:ข้าขอถามเจ้า

:หากเจ้าต้องเลือก ว่าจะมอบสิ่งนี้ให้กับผู้ใด

:ระหว่าง

:น้องชายที่เจ้ารัก หรือ

:คนแปลกหน้า

หนานไป๋เมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดความรู้สึกไม่เข้าใจอีกครั้ง

:เสด็จพ่อ...ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด

:ท่านหมายถึงอะไร

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นดวงตาก็ฉายแววความเย็นชา แต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นยกยิ้มที่มุมปาก

:ข้าให้เจ้าเลือก เจ้าก็เลือกมาเถิด

:เสด็จพ่อข้าไม่เข้าใจ

:แต่หากจะต้องเลือกจริงๆ ในภายหน้า

:ข้าเลือกไม่ได้จริงๆ

.

.

.

:เจ้า.....ตัดสินใจไม่ได้?

ฮ่องเต้ได้ตรัสถามขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

:ไม่ใช่ว่าข้าตัดสินใจไม่ได้

.

.

:แต่ข้าจะไม่เลือก

คำตอบของหนานไป๋ทำให้ฮ่องเต้นั้นนิ่งไปชั่วขณะ

:ทำไมเจ้าไม่เลือก?

ฮ่องเต้เอ่ยถามคำถามที่นึกสงสัยภายในใจ

:อย่างแรกข้าจะไม่ทำร้ายน้องตนเอง

:เพราะนั่นคือน้องของข้า

หนานไป๋เอ่ยตอบอย่างมั่นใจและมุ่งมั่น พลางยิ้มเล็กน้อยและมองไปที่น้อง6ของตน

:ถ้าเช่นนั้นแล้วคนแปลกหน้าเล่า?

:ข้อ2 ถึงแม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า แต่ข้ามีเหตุอันใดที่ต้องทำร้ายเขา?

ฮ่องเต้มองไปที่องค์ชาย6 ก่อนที่จะหันมามององค์ชายรัชทายาท พลางนึกคิดบางอย่างและคำพูดอยู่ภายในใจตนเอง

:เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะไม่ทำร้ายน้องตนเองใช่หรือไม่?

:พะย่ะค่ะ

:แล้วถ้าน้องของเจ้า..

:คิดจะหักหลังและทำร้ายเจ้าล่ะ

:เจ้าจะทำเช่นไร?

.

.

ภายในห้องนอนหรูหราขนาดใหญ่ มีร่างเด็กชายวัย10ขวบ กำลังนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนอน ภายในหัวนั้นมีคำถามที่คิดไม่ตก นั่นทำให้ในเวลานี้เขานั้นไม่ว่าจะพยายามข่มตาเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ ในหัวนั้นนึกถึงแต่คำถามที่ผู้เป็นพ่อนั้นถามเมื่อตอนอยู่ลานฝึก ความคิดในสมองของเขาคิดแต่คำถามเดิมๆ และคำพูดเดิมๆ ในตอนแรกเขาคิดว่าควรจะถามคำถามที่สงสัยและไม่เข้าใจนั้นออกไป แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ได้เดินออกไปไกลกับขันทีคนสนิทเสียแล้ว เขาเอามือก่ายหน้าผากตนเอง เขาคิดว่าในอายุของเด็ก10ขวบ ไม่ควรมาคิดอะไรที่น่าปวดหัวเช่นนี้ ถึงแม้ว่าอายุจริงๆถ้านับรวมกันแล้วเกือบๆ30ปีก็เถอะ หนานไป๋ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เขานั่นคิดออกแล้วว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้นั่นคืออะไร

.

.

.

.

:องค์รัชทายาท!

ตอนนี้ได้มีนางกำนัลรับใช้คนหนึ่งตกใจขึ้นมาเมื่อเห็นองค์รัชทายาทมาที่ตำหนักองค์ชาย6 ใช่แล้วตอนนี้เขาได้มาอยู่ที่หน้าตำหนักน้อง6ของตน เนื่องจากเขานั้นคิดไม่ออกว่าตนจะทำอะไรดี แต่หากได้ใครสักคนมาเป็นเพื่อนคุยก็คงจะดี ถ้าหากจะมารบกวนเวลานอนขององค์ชาย6ก็แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่หากจะให้ไปรบกวนน้องคนอื่นๆก็คงจะไม่ได้เพราะไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น แต่ถ้าหากมาที่นี่แล้วอีกฝ่ายนั้นกำลังหลับอยู่ แน่นอนว่าเขาจะต้อง

.

.

ปลุกให้อีกฝ่ายมาคุยกับเขา

.

:นี่เจ้าจะตกใจและกลัวอะไร

หนานไป๋เอ่ยพูดกับนางกำนัลตรงหน้าที่กำลังคุกเข่าลงและร่างกายสั่นด้วยความกล้ว

:อ..องค์รัชทายาทมาทำอะไรที่นี่หรือพ..เพคะ

น้ำเสียงสั่นของนางกำนัลทำให้หนานไป๋รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าเขาหน้ากลัวอย่างไร หรือเขาไปทำให้อีกฝ่ายกลัวงั้นหรอ

:ข้ามาหาน้องหก ทำไม?เจ้ามีปัญหาหรือ?

:ไม่ใช่นะเพคะ!!

นางกำนัลรีบเงยหน้าไปมององค์รัชทายาท

:แล้วนั่นถ้วยยาอะไร? น้องหกไม่สบายงั้นหรือ!!

หนานไป๋ถามถึงผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องตนเอง นางกำนัลที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดอ้ำๆอึ้งๆ แต่อยู่ๆหนานไป๋ก็เกิดชะงักขึ้นมาเขารู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นนางกำนัลคนนี้ที่ไหนสักที่ที่ไม่ใช่ตำหนักองค์ชาย6 และเขาก็นึกออกแล้วว่านางคือนางกำนัลรับใช้ของเสด็จพ่อ ด้วยความคิดที่เขามีต่อฮ่องเต้ในตอนนี้ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกแปลกๆว่ามันจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ องค์รัชทายาทไม่รอช้ารีบผลักประตูด้านหน้าแล้วเข้าไปหาองค์ชาย6

ภาพตรงหน้านั้นสะเทือนใจของหนานไป๋ไปไม่น้อยเลย นั่นคือเขาเห็นว่าน้อง6ของตนนั้นนอนกระอักเลือกอยู่บนพื้น โดยมีผู้เป็นพ่อนั้นยืนมองด้วยสายตานิ่งๆ และเห็นขันทีคนสนิทกำลังยืนก้มหน้าซีดอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ หนานไป๋รีบวิ่งไปหาหลี่เฉิง น้องหกของเขา น้ำตกของเขาร่วงลงมาอย่างอัตโนมัติ

:เกิดอะไรขึ้น!?!?!! น้องหก เจ้า...

:เสด็จพ่อ!!! นี่ท่าน? ท่าน...

ความเสียใจที่เกิดขึ้นทำให้เขาสติหายไปหมด รู้เพียงว่าต้องการที่จะรู้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

:นี่คือผลจากการที่เจ้าตัดสินได้ไม่เด็ดขาด

:ท่านหมายความว่าอย่างไร?!!!

:เจ้าเป็นถึงรัชทายาท

:หากตัดสินผิดพลาด ไม่เด็ดขาด

:ย่อมต้องมีการสูญเสีย

หนานไป๋มองไปที่ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ เขาเห็นแววตาอันเยือกเย็น และโหดเหี้ยม เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เป็นพ่อจะทำอะไรแบบนี้กับลูกตนเองได้

:น้องหก...เขาทำอะไรผิดงั้นหรือ..

หนานไป๋เอ่ยถามอีกคนด้วยเสียงที่แผ่วเบา

:เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่ว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ข้าต้องการจะให้เจ้าเห็นเพียงเท่านั้น

:ท่านก็เลยถึงกับให้ยาพิษกับเขา...

ฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดบางอย่างขึ้นมา

:นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด

:ข้าเพียงอยากดัดนิสัยให้เขานั้นสุขุม เยือกเย็น ไม่ใช่เอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ

หนานไป๋ฟังสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้เป็นพ่อของตนพูดมาจนหมด ในใจนั้นรู้สึกโกรธเคือง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขามองไปยังน้อง6ที่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูด ทำได้เพียงมองผู้เป็นพี่ของตน

:ฮึก..

น้ำตาจากที่หยุดไหลไปแล้วก็กลับมาไหลอาบแก้มอีกครั้ง

:ความเสียใจ ความเจ็บปวด ความทรมาน การสูญเสีย

:ทุกอย่างนั้นจะทำให้เจ้านั่นสามารถเติบโตได้ดี

.

.

ได้ดี?

.

งั้นหรือ?

.

.

ใครกันต้องการกัน

.

.

:ทีนี้ถึงตาเจ้าแล้ว

:ดื่มนี้ซะ

ฮ่องเต้หยิบขวดยาให้หนานไป๋ เขามองไปที่อีกคนและน้องตนเองก่อนจะยกขึ้นดื่ม

:ย...อย่า...ด...ดื่ม..

เสียงห้ามปรามอันแผ่วเบาของหลี่เฉิงพูดขึ้นมา เสียงที่แหบแห้งแถบจะไม่มีเสียงนั้นได้เปล่งออก หนานไป๋เขานั้นได้ยินคำพูดนั้นแต่ก็ยังเลือกที่จะดื่ม เพื่อหวังว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่ที่เขายอมดื่มยาพิษและปล่อยน้อง6ไป

:เสด็จพ่อ..ข้าดื่มยานี่แล้ว

:อืม เจ้าต้องดื่มทุกวัน

:ข้าจะยอมดื่มทุกวัน

:แต่ท่านสัญญาและรับปากข้าได้หรือไม่..

ฮ่องเต้มองไปที่องค์รัชทายาทด้วยสายตานิ่งๆ ราวกับผู้ที่ไม่มีความรู้สึก

:ว่ามาสิ

:หากท่านสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายน้องหก และน้องของข้ารวมถึงผู้อื่นๆแบบนี้อีก

:ข้า...ข้าจะ...

.

.

.

:ยอมทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ

หนานไป๋พูดเช่นนั้นออกไป เขาหวังว่าจะช่วยน้องๆของตนและคนอื่นๆได้ เขาหวังว่าจะไม่มีใครต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก หวังว่าพ่อของตนจะรักษาคำสัญญา

.

.

แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น

.

.

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นั้นทำให้เขารู้ว่าตนเองนั้นไม่ควรเชื่อคนๆนี้เลย ทั้งเรื่องต่างๆเยอะแยะมากมายที่เขาได้ไปเจอและรู้มานั่น

.

.

การตายของเสด็จแม่

.

.

.

เรื่องการลอบสังหาร หลังจากถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทได้ไม่นาน

.

.

การหายตัวไปของสาวใช้คนสนิทของเสด็จแม่

.

.

.

.

การตายขององค์ชาย3 หลี่หยางเจียน

.

.

.

การตายขององค์หญิง4 หลี่ชิวชิว

.

.

.

.

พระสนมเสียนเฟยที่ผูกคอตนเอง ซึ่งเกิดจากการเสียใจที่องค์ชาย3 และองค์หญิง4จากไป

.

.

.

และ

.

.

.

การตายที่หาสาเหตุไม่ได้ของน้องหก

.

.

.

ทุกอย่างที่กล่าวมา

.

.

.

ล้วนแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อ

.

.

2.ขนมหวาน

.

ปัจจุบัน

.

ในเตียงนอนอันหรูหรามีชายร่างสูงนามว่า หลี่หนานไป๋ ผู้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าถัง ในชุดสีฟ้าอ่อนๆกำลังนอนหลับไหลอยู่ ก่อนที่จะมีแสงแดดเข้ามาแยงตาทำให้ดวงตาคู่นั้นค่อยลืมขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เสื้อผ้าที่เขานั้นใส่อยู่นั้นเผยให้เห็นอกแกร่ง ร่างสูงมองไปรอบๆเมื่อเห็นว่ามีขันทีคนสนิท หวงเจิน และนางกำนัลจำนวนหนึ่ง หนานไป๋จับไปที่ศรีษะของตนเองก่อนจะหลับตาลงสักครู่ เพื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา กว่าจะถึงจุดนี้กว่าที่ทุกอย่างจะลงตัวได้เกี่ยวกับเรื่องเสด็จพ่อที่เขาได้สังหารอย่างเยือกเย็นไป นี้ก็เป็นเวลานานมาถึงเกือบ 6 ปีได้แล้ว นับจากวันนั้นและเขาได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกขุนนางและประชาชนก็คงจะไม่ยอมรับและคิดว่าหนานไป๋ก่อกบฏ แต่ไม่ใช่เลยพวกขุนนางและราษฎรนั้นต่างชื่นชมว่าเขาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนานไป๋ได้รู้ว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของตนนั้นได้ไปทำอะไรไม่ดีมาไว้มาก ทำให้พวกขุนนางในราชสำนัก แม่ทัพบางท่านบวกกับแรงสนับสนุนจากเหล่าองค์ชาย และองค์หญิงที่ได้แต่งออกไปที่ต่างแคว้น พวกเขานั้นต่างร่วมแรงร่วมใจในการช่วยเหลือหนานไป๋เป็นอย่างมาก

ด้านหน้าตำหนักได้มีสตรีสูงศักดิ์นามว่า หลิวซูหลัน ที่มีตำแหน่งในวังเป็นกุ้ยเฟย นางสวมใส่ชุดสีส้มอ่อนๆที่ถูกตบแต่งไปด้วยรอยปักรูดอกไม้สีขาว บวกบนหัวของนางที่มีปิ่นปักผมของนางที่ทำจากหยกขาวล้วนๆติดอยู่ที่ผม2-3ชิ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้นางเคยมาหาฝ่าบาทและถูกตำหนิเรื่องการแต่งตัวว่าแต่งตัวได้ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ในครั้งนี้นางจึงแต่งอะไรที่ดูเรียบง่ายกว่าเดิม เพื่อหวังอีกคนจะพึงพอใจ หลิวกุ้ยเฟยเดินเข้ามาพร้อมนางกำนัลคนสนิทอีก1คน นามว่า หลิวหมิง แต่เดิมนางก็เป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อ หลิวซูหลันมีอายุ16ปีกว่า นางก็ถูกรับเลือกจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้แต่งเป็นชายารองของฝ่าบาทเมื่อครั้งที่พระองค์มีอายุ20 ปี ซึ่งนางก็แต่งเข้าตำหนักองค์รัชทายาทหลังจากที่ฮองเฮาแต่งไปได้ประมาณ2ปี

ในมือของ หลิวหมิง นางกำนัลคนสนิทของหลิวกุ้ยเฟยนั้นมีถาดไม้ที่ถูกแกะสลักออกมาอย่างปราณีตได้งดงาม บนถาดนั้นมีขนมหวานชนิดหนึ่งที่นางได้สั่งให้หลิวหมิงไปบอกคนครัวให้ทำมาพร้อมทั้งให้หลิวหมิงยืนดูอยู่อีกด้วย ข้างๆถ้วยที่ใส่ขนมนั่นมีกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาอยู่ หลิวกุ้ยเฟยนางตั้งใจจะนำสิ่งนี้มาให้ฝ่าบาทเสวยและบวกกับความรู้สึกของนางที่ต้องการพบฝ่าบาทอีกด้วย

:คาราวะกุ้ยเฟย

หวงเจิน ผู้มีฐานะเป็นหัวหน้าขันทีคนสนิทของฮ่องเต้หนานไป๋ หวงกงกงเอ่ยพูดพลางมองไปที่สตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะก้มโค้งศีรษะและตัวลงพร้อมใช้มือทั้งสองข้างประสานกันเพื่อทำการคำนับหลิวกุ้ยเฟย

:หวงกงกง เจ้าไปกราบทูลฝ่าบาทว่าข้า..นั้นน้ำขนมและน้ำชามาให้พระองค์

หลิวซูหลันในฐานะกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าของนางจะมีเลือดฝาดขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างเล็กน้อยแล้วเบี่ยงสายตามองไปยังทางอื่น หวงกงกงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำสีหน้าหนักใจเล็กน้อย

:มีอันใดหรือท่านกงกง

หลิวซูหลันที่สังเกตเห็นดังนั้นก็มองไปที่อีกฝ่ายแล้วพูดบางอย่างขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและแววตาที่เย็นชา

:เอ่อ..พระสนม..ท่านอย่าหาว่าบ่าวอย่างนั้นอย่างนี้เลย

:แต่..ท่านจะไปพบฝ่าบาทเวลานี้..เกรงว่าจะไม่เหมาะ

หวงกงกงพูดพลางยิ้มๆบนหน้าผากมีเหงื่อขึ้นเล็กน้อย หลิวกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่ในขณะนั้นเองก็ได้มีร่างๆหนึ่งกำลังย่างก้าวมาทางนี้กับผู้ที่ตามหลังอีก2คน หลิวกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่อีกคน

:หม่อมฉันคาราวะฮองเฮา

สวีฮองเฮา ฮองเฮาผู้สูงส่งสง่างาม ผู้ที่งดงามทั้งกายวาจาและจิตใจ สวีเหยียนหรง นางเป็นลูกสาวของฮูหยินตระกูลสวี บิดาของนาง สวีจวินเฉิน เขานั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ผู้คนในต้าถังนั้นต่างเคารพและนับถือความสามารถในการรบชนะพวกศัตรู ฮ่องเต้องค์ก่อนเห็นในความสามารถของแม่ทัพสวีและผลประโยชน์จึงได้คิดจะให้ตระกูลสวีเกี่ยวดองกับทางราชวงค์ด้วยการให้องค์รัชทายาทแต่งกับลูกสาวของสวีจวินเฉิน ข้างซ้ายมือของนางในตอนนี้คือ สวีเหลียงอิง สาวใช้ที่อยู่และเติบโตกันมาตั้งแต่เด็ก สวีเหลียงอิงนางเป็นสาวใช้ดูแลประจำตัวของสวีเหยียนหรง ส่วนทางด้านขวามือคือ หยางซูซู นางเป็นสาวใช้ของฝ่าบาทเมื่อครั้งพระองค์ยังเป็นรัชทายาท ในตอนที่สวีเหยียนหรงแต่งกับองค์รัชทายาทพระองค์ก็ทรงให้หยางซูซูมาคอยดูแลรับใช้นางจนถึงตอนนี้ สิ่งที่ฮ่องเต้นั้นทรงให้มาไม่ว่าจะเป็นอะไรสวี

เหยียนหรงนั้นย่อมต้องรักษาและเห็นค่าเสมอ นางจึงได้ให้หยางซูซูมาด้วยในตอนนี้

สวีฮองเฮาหรือสวีเหยียนหรงเมื่อเห็นดังนั้นก็มองปราดเดียว ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นมและดวงตาแสดงให้เห็นว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่หลิวกุ้ยเฟยที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดสักเท่าไหร่นัก

:หลิวกุ้ยเฟย

:เจ้ามาทำอะไรที่หน้าตำหนักของฝ่าบาทงั้นหรือ?

สวีฮองเฮาพูดขึ้นมาก่อนที่สายตาจะค่อยๆมองไปทางหลิวหมิงนางกำนัลคนสนิทของหลิวกุ้ยเฟย

:อย่างที่ฮองเฮาทรงเห็นเลยเพคะ

คำพูดของหลิวซูหลันนั้นเหมือนเป็นความหมายที่บอกว่าเห็นเป็นยังไงก็อย่างนั้นแหละ สวีเหยียนหรงที่เห็นดังนั้นก็พลันเปลี่ยนสายตาเป็นเยือกเย็นก่อนสักครู่จะเปลี่ยนเป็นตายิ้มเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆแต่ผู้อื่นนั้นก็ทันสังเกตเห็น

:ว่าแต่...พระองค์ก็ทรงนำของบางอย่างมาให้ฝ่าบาทเหมือนกันหรือเพคะ?

หลิวกุ้ยเฟยที่พูดมานั้นก็พูดพลางมองไปที่นางกำนัลสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฮองเฮา และกำลังถือถาดที่มีบางอย่างใส่ไว้อยู่ด้านบน สวีฮองเฮาที่เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้น

:ใช่แล้ว..ของข้าเป็นผลไม้และชุดที่ตัดเย็บมาให้ฝ่าบาทน่ะ

สวีฮองเฮาพูดอย่างฉะฉานพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขเหมือนกับแสดงรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ หากผู้ใดมาเห็นคงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฮองเฮานั้นช่างใส่ใจดูแลฝ่าบาทยิ่งนัก แต่รอยยิ้มนั้นกลับเหมือนเป็นคำเยาะเย้ยว่านางได้ดูแลใส่ใจฝ่าบาทและการยั่วโมโหสำหรับหลิวซูหลัน

:อืม..แต่ของเจ้าเป็นขนมหวานงั้นหรือ?

สวีเหยียนหรงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่แฝงยาพิษเช่นเดิม

:เพคะ

:แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำเองมิใช่หรือ

หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินสวีฮองเฮาถามเช่นนั้นก็ตอบคำถามไปแบบส่งๆ สวีฮองเฮาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดบางอย่างออกไป เหมือนกับว่านางต้องการยั่วยุอีกฝ่ายให้โกรธจนควบคุมตนเองไม่อยู่ แล้วเผยกิริยาหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมออกไปให้ผู้อื่นได้เห็น หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็เกิดไฟโทษะขึ้นภายในใจ แต่นางก็รู้ทันว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการให้นางโกรธเช่นนี้ หลิวกุ้ยเฟยนางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากข่มอารมณ์เอาไว้ใจไม่แสดงอะไรออกมา

:นั่นก็ใช่เพคะที่หม่อมฉันมิได้เป็นผู้ทำขนมในถ้วยนี้

:แต่ช่วงนี้หม่อมฉันก็ลองฝึกทำพวกขนมและอาหารบางอย่างมาบ้างแล้ว

:หากแต่ว่า..

:ฝีมือที่ฝึกหัดเช่นหม่อมฉันจะเทียบกับพ่อครัวหลวงแม่ครัวหลวงได้อย่างไร

:หม่อมฉันจึงให้พวกเขาทำขนมไว้ให้

:ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฝ่าบาทได้ชิมขนมดีๆ

หลิวซูหลันกล่าวเอ่ยพูดประโยคไปรัวๆโดยที่ไม่ปล่อยเว้นช่องว่างให้ฮองเฮาได้พูดแทรกเลยแม้แต่น้อย สวีฮองเฮาที่ฟังอีกคนพูดจนจบแววตาก็ยังคงเรียบนิ่งผิดกับปากของนางที่กำลังยิ้มอย่างเป็นมิตร ภายในใจของนางกำลังคิดกับคำพูดของหลิวกุ้ยเฟย

:ก็ถูกของเจ้า..

:เราควรจะมอบแต่สิ่งดีๆให้ฝ่าบาท..ทำหน้าที่ให้สมกับที่ได้เป็นสตรีของพระองค์

:เพียงแต่ขนมของเจ้า...แน่นอนว่าหากทำเองย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่มากกว่า

ฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินดังนั้นไฟโทษะในใจนางก็เริ่มลุกลามมากขึ้น นางไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนนางทั้งนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นั้นคือสวีฮองเฮาผู้นี้ หลิวกุ้ยเฟยที่จากเดิมคิดว่าจะอยู่นิ่งแล้วข่มอารมณ์เก็บไว้ในใจ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อฮองเฮาเห็นว่านางพยายามนิ่งนางก็ยิ่งต้องการยั่วโทษะกุ้ยเฟย

:แล้วอย่างไร..

หลิวซูหลันผู้มีตำแหน่งในวังหลังเป็นกุ้ยเฟยพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่คำพูดนั้นก็ส่งเสียงมาถึงสวีเหยียนหรง

:จะจริงใจหรือไม่

:นั่นก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพระองค์เพคะฮองเฮา

:มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ตัดสินความจริงใจของหม่อมฉันได้

:ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่ขอรบกวนท่านที่เป็นถึงฮองเฮาให้ตัดสินอะไรกับเรื่องเล็กน้อยนี้เพคะ

หลิวซูหลันพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆแต่ชัดถ้อยชัดคำ คำพูดของนางไม่ต่างอะไรกับการบอกฮองเฮาว่าให้ทำหน้าที่ของตนไปไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ หรือหากจะพูดสั้นๆก็คือไม่ต้องยุ่ง

:เสียงเอะอะอะไรกัน

เสียงเคร่งขรึมอันเยือกเย็นกล่าวออกมาจากด้านใน นางกำนัลและสนมกุ้ยเฟยนั้นได้คุกเข่าลุงตามด้วยฮองเฮา พวกนางรู้ว่าเมื่อครู่นั้นเป็นเสียงของผู้ใด

:กราบทูลฝ่าบาท..ฮองเฮาและกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ

หวงกงกงกราบทูลกับฮองเต้ ก่อนที่เงาร่างสูงจะค่อยๆเคลื่อนออกมาเผยให้เห็น

:เช่นนั้นพวกนางจึงส่งเสียงเอะอะเพราะทะเลาะกันงั้นหรือ?

ฮ่องเต้กล่าวออกมาพลางสายตาเลื่อนไปมองสวีเหยียนหรง สวีเหยียนหรงนางรับรู้ว่าตอนนี้ฝ่าบาทนั้นกำลังมองมาทางที่นางอยู่ เพราะนางรับรู้ถึงแรงกดดันบางอย่างทางฝ่าบาท นางรู้ตัวว่าฝ่าบาทนั้นกำลังไม่พอใจนางอยู่ ซึ่งนางก็เหมือนว่าจะรู้ว่าเรื่องอะไร

:ไม่ใช่นะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันกับฮองเฮาเพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

:แต่เสียงนั้นอาจจะไปรบกวนฝ่าบาท..

:หม่อมฉันขออภัยเพคะ

:หม่อมฉันก็ขออภัยเพคะ

หลิวกุ้ยเฟยพูดขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางอยากจะปกป้องฮองเฮา เพียงแต่เป็นเพราะไม่อยากให้ฝ่าบาทคิดว่านางต้องการสร้างปัญหาอยู่ด้านนอกนี้ และนอกจากนี้นางไม่อยากให้ฝ่าบาทไล่นางให้กลับไปเหมือนครั้งก่อนๆ หลิวกุ้ยเฟยเมื่อพูดจบประโยคก็ก้มหัวขออภัยกับฝ่าบาท ซึ่งฮองเฮาเมื่อเห็นดังนั้นนางก็ได้ขออภัยตามหลิวซูหลัน

:กุ้ยเฟย..นางคือผู้ที่มาที่นี่ก่อนใช่หรือไม่

ฮ่องเต้หนานไป๋ถามกับหวงกงกงขันคนสนิท

:พะย่ะค่ะ

หวงกงกงพูดกลางก้มหัว

:เฮ้ออ..ฮองเฮา

:เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถิด

:!แต่ฝ่าบาท-

คำพูดของสวีเหยียนหรงนั้นถูกกลืนลงคอไปเมื่อนางเห็นว่าฝ่าบาทกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาที่เย็นชา สวีเหยียนหรงเมื่อเห็นดังนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่โค้งคำนับแล้วเดินจากไป ถึงแม้สีหน้าของนางจะเรียบนิ่งอยู่แต่ภายในใจก็สั่นไหวและเกิดความวิตก นางกลัว กลัวว่าฝ่าบาทนั้นจะไม่พอใจจนถึงขั้นเกลียดนาง ถึงแม้ว่าในใจนางจะพยายามปลอบใจตนเองว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฝ่าบาทไม่ใช่คนไร้เหตุผล

หลิวกุ้ยเฟยที่เห็นว่าสวีฮองเฮากำลังเดินออกไป ภายในใจนางก็รู้สึกดีใจและสะใจเล็กน้อย เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับที่ฝ่าบาทไล่ฮองเฮาให้นางกลับไปตำหนักตนเอง

.

.

.

.

.

:ส่วนเจ้า..ตามเข้ามา

หลังจากที่ฮองเฮาเดินออกไปไกลแล้ว ฮ่องเต้ก็ได้พูดพลางมองไปที่กุ้ยเฟย หลิวกุ้ยเฟยที่ได้ยินดังนั้นก็เดินตามฝ่าบาทไปโดยมีนางกำนัลคนสนิทที่ชื่อหลิวหมิงกำลังจะตามมาด้วย

:ข้าหมายถึงหลิวกุ้ยเฟยเท่านั้น!!

.

.

3. กล่าวตำหนิ

.

ในตำหนักหรูหรา โต๊ะเก้าอี้ไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปมังกรบนโต๊ะนั้นมีสมุดหนังสืออยู่5-7เล่ม ชายร่างสูงวัยเกือบๆ29ปีกำลังขีดเขียนและอ่านบางอย่างอยู่ ตรงหน้ามีสตรีวัย22ในชุดสีส้มอ่อนๆ กำลังนั่งคุกเข่าอยู่เป็นเวลาประมาณเกือบๆ1ชั่วโมง สีหน้าของนางนั้นเริ่มไม่ค่อยดีนัก

:ข้าบอกให้เจ้าคุกเข่างั้นรึ

ชายร่างสูงเอ่ยออกมาใบหน้ายังคงมองไปที่ตัวอักษรบนกระดาษมือนั้นกำลังเขียนอยู่ สตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟยในวังหลังได้ยินเช่นนั้นก็ได้เงยหน้าไปมองอีกฝ่าย

:ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสเช่นนั้นเพคะ..

สตรีร่างบางในชุดสีส้มอ่อนๆเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ถึงถึงเสียงจะเเผ่วเบาเเต่อีกฝ่ายที่เป็นถึงฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสสวรรค์นั้นก็ได้ยิน

:ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงคุกเข่า

พระองค์ยังคงใช้สายตาจดจ่ออยู่ที่มือตนเองที่กำลังขีดเขียนบางอย่างอยู่นั้น

:หม่อมฉันคิดว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้ฝ่าบาทพอใจได้

ฝ่าบาทชะงักมือเล็กน้อยก่อนจะวางฟู่กันลง แล้วมองไปที่หลิวกุ้ยเฟย

:พอใจ?

:ข้าน่ะหรือ?

หลิวกุ้ยเฟยก้มหน้าลง นางคิดว่านางทำเช่นนี้ฝ่าบาทจะพอใจ ดูจากที่เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ไม่ได้บอกให้นางเลิกคุกเข่าแต่อย่างใดแม้กระทั้งในเวลานี้เอง

:เพคะ

หลิวซูหลันผู้มีตำแหน่งกุ้ยเฟยพูดขึ้นมา

:กุ้ยเฟย

ฝ่าบาทเอ่ยเรียกสตรีที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง น้ำเสียงพลางกดให้ต่ำลง หลิวซูหลันเมื่อได้ยินดังนั้นก็ใจกระตุกขึ้นมาด้านหลังรู้สึกเย็นวาบ ไม่ใช่ว่าดีใจหรือรู้สึกดี เพราะการเรียกแบบนั้นสำหรับนางแล้ว ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเห็นนางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งที่เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แต่ไม่ใช่กุ้ยเฟยของพระองค์

:เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่?

หลิวกุ้ยเฟยรับรู้ถึงความกดดันทางสายตาของคนที่เดินมาอยู่ตรงหน้านาง

:เพคะ

:รู้ว่าอย่างไร

ฝ่าบาทกล่าวถามอีกคนทันที ถึงแม้ที่พูดออกไปนั้นจะเป็นคำถาม แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจริงๆคือต้องการรู้ว่านางมีไหวพริบและความเข้าใจอะไรต่างๆได้มากแค่ไหน

:หม่อมฉันไม่ควรต่อปากต่อคำกับฮองเฮา ถึงแม้ว่าบางคำพูดของนางจะไม่เหมาะสม

:แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นฮองเฮา เป็นนายหญิงแห่งวังหลัง การที่สนมเช่นหม่อมฉันทำเช่นนี้เป็นการไม่ให้เกียรติฮองเฮาเพคะ

ฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใช้มือลูบไปที่คางของตนเองพลางคิดอะไรบางอย่าง หลิวกุ้ยเฟยมองไปที่อีกคนว่าจะมีปฎิกริยาอย่างไร

:อืม.. วันนี้

:ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ

:ส่วนเรื่องที่ฮองเฮาพูดข้าว่ามีส่วนที่ถูกอยู่ ต้องลงมือทำ

:ถึงจะเห็นถึงความจริงใจ

หลิวกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจสิ่งที่ฝ่าบาทกำลังจะสื่ออย่างรวดเร็ว นางมองฝ่าบาทพลางคาราวะ

:หม่อมฉันทูลลา

.

.

.

.

.

.

ณ ตำหนักแห่งหนึ่ง

แสงแดดอันอบอุ่นค่อยสาดส่องเข้ามายังด้านในตำหนัก สตรีในวัย24ปี ผู้มีตำแหน่งเป็นฮองเฮาแห่งวังหลัง เป็นมารดาของแผ่นดิน กำลังยืนรับลมอยู่ที่หน้าต่าง โดยมีสวีเหลียงอิงและหยางซูซูผู้เป็นนางกำนัลทั้งสองคอยดูแลอยู่ห่างๆขณะนั้นเองก็ได้มีขันทีคนหนึ่ง เดินเข้ามายังตำหนัก พร้อมกับนางกำนัลที่ยกถาดและขันทีอีก2คนที่ยกต้นไม้ต้นหนึ่ง หวงกงกงผู้เป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้หนานไป๋ เขาคาราวะทำความเคารพฮองเฮา ซึ่งเมื่อนางเห็นดังนั้นก็เกิดความแปลกใจเล็กน้อยว่าฝ่าบาทจะทำสิ่งใด

: ลมอะไรหอบท่านหวงกงกงมาได้รึ?

สวีฮองเฮากล่าวพูดพลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองกงกงและของที่ถูกยกเข้ามา

:555ฮองเฮา..ท่านตรัสเกินไปแล้ว

:เอ่อ..ฝ่าบาทเห็นว่าที่ตำหนักของฮองเฮานั้นดูว่างปล่าวไปเสียหน่อย

:จึงได้ให้บ่าวนำของสองสิ่งนี้มาให้ท่าน

หวงกงกงกวักมือเรียกนางกำนัล ก่อนที่จะดึงผ้าที่คลุมอยู่ออกมา

:ฮองเฮานี่คือหยกที่เเกะสลักเป็นรูปหงส์เพื่อให้เหมาะสมแก่ฮองเฮาเช่นท่านที่เคียงคู่มังกรเช่นฝ่าบาท

สวีเหลียงอิงรับหยกที่แกะสลักมาจากนางกำนัล ส่วนหวงกงกงมองไปที่ขันทีอีก2คนเพื่อเป็นสัญญาณว่าให้เดินเข้ามาใกล้ๆ

: ส่วนนี้คือต้นไม้หายาก ความพิเศษของมันก็คือด้วยรูปร่างและสีสันที่สวยงามของมันนั้น เมื่อใครเห็นก็ต้องชอบ เมื่อมองแล้วรู้สึกจิตใจสงบสำหรับผู้ที่มีโทษะ

เมื่อหวงกงกงพูดจบก็ทำการคาราวะจากนั้นก็เดินออกไปตามด้วยนางกำนัลและขันที เมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปแล้ว หญิงสูงศักดิ์ในนามฮองเฮาก็ยืนอยู่นิ่งพลางคิดอะไรบางอย่างก่อนจะหันไปมองหยกรูปหงส์ที่สวีเหลียงอิงกำลังถืออยู่ และมองไปที่ต้นไม้ขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ สวีเหลียงอิงเห็นผู้เป็นนายของตนนิ่งไปจึงเกิดความสงสัย หยางซูซูก็มองไปที่สวีฮองเฮา นางต้องการรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

:มีอะไรรึป่าวเพคะฮองเฮา

เหลียงอิงถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง สวีฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็หันไปมองนางพลางยิ้มอ่อนๆ

:ไม่มีอะไรหรอก

:ข้าแค่คิดอะไรนิดหน่อย

สวีเหลียงอิงมองฮองเฮาด้วยความไม่สบายใจ สวีฮองเฮามองไปที่ต้นไม้ที่มีใบไม้สีส้มแดงเหลืองไล่เฉดสีกันอยู่ ก่อนจะจับใบไม้อย่างเบามือ หยางซูซูเมื่อเห็นดังนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกมา ที่ปากของนางเกิดรอยยิ้มที่มุมปากอยู่เล็กน้อย ภายในเพียงครู่เดียวก็หายไป ในระยะเวลาเพียงแค่นั้นไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ทัน

: ฝ่าบาทช่างใส่ใจฮองเฮายิ่งนัก

:ส่งของมาให้ท่านหลังจากที่ไม่ได้ให้อะไรท่านเป็นระยะเวลานานแล้ว

หยางซูซูพูดขึ้นมาทำเป็นประจบประแจง ทำให้ดูเหมือนว่าตนเองคิดว่าฝ่าบาทใส่ใจฮองเฮา ถึงแม้ว่าในใจจะไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้น ฮองเฮาเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ข่บฟันเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองหยางซูซู

: ข้าอนุญาติให้เจ้าพูดรึ?

หยางซูซูเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าตนเองได้ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเสียแล้ว แต่แล้วยังไง ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการ นางทำเป็นเหมือนว่ารู้สึกผิดและกลัวจึงได้ก้มหน้าลงไป

:หม่อมฉันพูดไม่ดีเอง

:ฮองเฮาโปรดอภัย

สวีเหยียนหรงมองหยางซูซูด้วยสายตาเย็นชาอยู่แว๊บหนึ่ง แต่นั่นก็ทำให้หยางซูซูรู้สึกตัวได้

:ออกไป..

คำพูดแค่เพียงสองคำจากนาง ก็ทำให้หยางซูซูต้องออกมายืนข้างนอก

: ฮองเฮา..

เหลียงอิงพูดขึ้นมา สวีฮองเฮามองต้นไม้อยู่เงียบๆ ในใจนั้นนึกคิดถึงคำพูดของหยางซูซูเมื่อครู่ ก่อนที่นางจะหัวเราะที่ลำคอเล็กน้อย

:หึ

:ใส่ใจงั้นหรือ?

:ฝ่าบาทใส่ใจข้า..

สวีเหยียนหรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาอันแดงก่ำของนางมองไปที่คนสนิทข้างกาย สวีเหลียงอิงรู้สึกตกใจกับการกระทำของฮองเฮา และไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

:ฮองเฮา...มีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเพคะ

:หรือว่าซูซู..นางพูดให้ท่านรู้สึกไม่พอใจ

สวีเหลียงอิงถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

:นางไม่ผิดหรอก..นางแค่ไม่รู้

:ฝ่าบาท..

เมื่อคำพูดสองคำสุดท้ายโผล่มาก็ทำให้เหลียงอิงเข้าใจขึ้นมาว่าสาเหตุที่ทำให้นายหญิงของตนเป็นเช่นนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับฝ่าบาทเป็นแน่ เพียงแต่นางยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

(หรือว่า..)

สวีเหลียงอิงคิดขึ้นมาในใจ

: ฮองเฮา..ฝ่าบาทส่งของมาให้ท่าน

:ท่านอย่าคิดมากไปเลยนะเพคะ..

เหลียงอิงนางคิดว่าของสองสิ่งนี้ต้องมีความหมายแอบแฝงอะไรแน่ๆ

:ของพวกนี้..เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร

สวีฮองเฮามองอีกฝ่ายแล้วถามออกมา นางนั้นรู้ดีว่าฝ่าบาทกำลังจะสื่ออะไรให้นางได้รับรู้ นั่นก็คือพระองค์นั้นกำลังตำหนินางอยู่นั่นเอง สวีเหยียนหรงคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ฝ่าบาทกำลังตักเตือนและว่ากล่าวนางอยู่ อย่างแรก เรื่องหยกงดงามที่ถูกแกะสลักเป็นรูปหงส์ หวงกงกงบอกว่านี่ก็เพื่อให้สมกับฐานะฮองเฮาที่สูงส่ง หวงกงกงเขานั้นเป็นคนของฝ่าบาท แน่นอนว่าคำพูดของเขานั้นต้องมาจากฝ่าบาทที่ต้องการส่งต่อคำพูดมาให้นางได้รับรู้ เรื่องที่สองต้นไม้ ต้นไม้นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นต้นไม้เล็กๆที่ยังไม่ได้เจริญเติบโตมากเท่าไหร่ แต่หากมีสตรีนางใดได้เห็นอย่างน้อยก็คงจะต้องรู้สึกชื่นชอบมันบ้าง ซึ่งหากผู้ที่ไม่รู้อะไรมาก่อนก็คงจะคิดได้ว่าฝ่าบาทแค่อยากให้ฮองเฮา แต่มีสิ่งที่ผิดปกติดูไม่ใช่ความหมายและเรื่องที่ดีนั่นก็คือ คำพูดของหวงกงกงที่ว่า ผู้พบเห็นจะรู้สึกจิตใจสงบ นั้นหมายถึงว่าฝ่าบาทต้องการจะตำหนินางว่าช่วงนี้นางขาดคุณสมบัติในการเป็นฮองเฮามารดาของแผ่น มีใจที่ไม่มีความเมตตา ไม่มีความใจกว้าง อารมณ์ร้อน ต้นเหตุคำพูดนั้นก็คงจะมาจากที่เรื่องที่นางไปหาเรื่องหลิวซูหลันในเรื่องไร้สาระ เรื่องไม่เป็นเรื่อง สวีฮองเฮาในตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว ในตอนแรกนางก็ได้สงสัยและแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ๆฝ่าบาทก็ส่งสิ่งของที่งดงามและราคาแพงหายากขนาดนี้มาให้นาง แต่เมื่อฟังคำพูดของหวงกงกงผู้เป็นขันทีคนสนิทของฝ่าบาท นางก็เข้าใจเหตุผลนั้นแล้ว ของที่ฝ่าบาทส่งมาถึงแม้จะงดงามเพียงใดแต่ทว่าความหมายของมันและบวกกับเจตนาของฝ่าบาท ในความคิดของนางช่างเหมือนกับยาพิษที่ฝ่าบาทนั้นมอบให้ แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแม้ว่าจะเป็นยาพิษที่ทำร้ายตัวนางเองแต่นางก็เลือกที่จะดื่มมันอย่างไม่ลังเลเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ที่มอบให้

.

.

.

.

.

ในเวลาที่ท้องฟ้าทั้งหมดกำลังเปลี่ยนเป็นสีดำและมีดวงดาวรายล้อม ตำหนักแห่งหนึ่ง ที่ด้านในของห้องนั้นถูกตบแต่งไปด้วยภาพวาดและบทกวีที่แขวนไว้อยู่ สตรีในวัย22ที่มีร่างบอบบางที่ดูอรชรแต่กลับดูแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้างดงามที่หมดจด ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มอ่อน ดวงตาที่กำลังจ้องมองอย่างตั้งใจ เมื่อเรียวยาวที่กำลังบรรจงเขียนอักษรอย่างช้าๆ นางมีอายุนามว่า เหวินหมิงจู นางมีฐานะเป็นเสียนเฟย ในตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาทนางก็เป็นอนุของฝ่าบาท

:พระสนมเพคะ

ในขณะที่เหวินเสียนเฟยนางกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่นั้นก็ได้มีเหวินซี นางกำนัลคนสนิทของเหวินหมิงจูมาขัดจังหวะเสียได้ พระสนมเสียนเฟยเพียงแค่ปรายตามองนางนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้ตำหนิอะไร นางใช้พู่กันจุ่มหมึกและเขียนลงไปในกระดาษอย่างเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไร เหวินซีก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่เงียบๆโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายของตนมีนิสัยเป็นเช่นไร

:มีอะไรหรือซีเอ๋อร์

เหวินเสียนเฟยเรียกอีกฝ่ายในแบบที่เอ็นดู แต่นางก็ยังคงเขียนบางอย่างลงกระดาษอยู่

: หม่อมฉันได้ยินมาว่า

: วันนี้ตอนเช้าฝ่าบาทส่งของสองสิ่งได้ให้ฮองเฮาเพคะ

เหวินซีพูดต่อไปให้พระสนมฟัง เมื่อพระสนมเสียนเฟยนางได้ยินดังนั้นก็ชะงักมือที่กำลังเขียนไปเล็กน้อย ที่ดวงตาของนางนั้นเกิดความสั่นไหว นางถอนหายใจเพื่อพยายามควบคุมอารมณ์และสติของตนเองไว้

:สองสิ่งนั้นคืออะไร

เหวินเสียนเฟยถามเหวินซีโดยที่มือของนางก็ยังคงเขียนต่อไปโดยลงน้ำหนักไปมากกว่าเดิม เหวินซีสังเกตเห็นแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรไป

:หม่อมฉันได้ยินมาว่าเป็นหยกที่แกะสลักเป็นรูปหงส์อย่างปราณีต และต้นไม้หายากที่มีขนาดเล็ก

เหวินซีพูดต่อจนจบ พระสนมเสียนเฟยก็ฟังอย่างเงียบๆพลางคิดอะไรบางอย่าง

:หยกเป็นหงส์ แล้วต้นไม้มีลักษณะอย่างไร?

เหวินหมิงจูเอ่ยถามออกไป

: เป็นต้นไม้ที่มีใบไม้หลากสีเพคะ

: มีบางคนพูดว่าต้นไม้นั้นมีความพิเศษคือเพียงแค่มองมัน ก็สามารถทำให้จิตใจสงบได้

: ถ้าหากว่าตอนนั้นเราเกิดอารมณ์ไม่ดีแค่มีต้นไม้นี้อยู่ก็จะทำให้เราสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ

เหวินซีพูดพลางอธิบายตามที่ตนเองเข้าใจ เหวินเสียนเฟยที่ได้ยินดังนั้นนางก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

:หึ

นางหัวเราะออกไป ซึ่งนั้นสร้างความแปลกใจและไม่เข้าใจให้แก่เหวินซี

:ท่านหัวเราะ..?

เหวินเสียนเฟยหันไปมองอีกฝ่ายและถอนหายใจออกมาด้วยควาเหนื่อยใจ นางคิดว่าเหวินซีอยู่กับนางมานานแล้วแต่ทำไมถึงยังมีความใสซื่อและตามอะไรหลายๆอย่างไม่ทันอยู่หลายครั้ง แต่เหวินเสียนเฟยนางก็ไม่คิดจะโทษเหวินซีหรอก เพราะยิ่งนางเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เหวินเสียนเฟยรู้สึกเอ็นดูและรักนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ

:เมื่อวานนางมีเรื่องกับกุ้ยเฟยไม่ใช่หรือ?

เหวินเสียนเฟยพูดขึ้นมาพลางยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

:ท่านทราบเรื่องนี้?

:มีคนมาบอกท่านแล้วหรือ?

เหวินซีถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ก็รู้สึกว่าตนเองทำงานที่พระสนมมอบหมายมาพลาด

:หม่อมฉันบกพร่อง..

:ในวังหลังมีเรื่องเกิด..แต่ไม่ได้นำมาบอกท่าน..

เหวินซีคุกเข่าลงและก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด

:ลุกขึ้นเถิด

เหวินหมิงจูพูดบอกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นเพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของนาง แต่ทว่าอีกฝ่ายยังคงคุกเข่าอยู่

:เจ้าลุกขึ้นเถิด

: ...

: มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย

เหวินเสียนเฟยพูดบอกอีกฝ่ายขณะที่กำลังเขียนบางอย่างโดยที่ไม่ได้มองอีกฝ่าย ที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริง นี่ไม่ใช่ความผิดของเหวินซี และอีกอย่างเหวินเสียนเฟยนางก็มีคนของนางมากมายคอยรายงานว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ส่วนเรื่องของที่ฝ่าบาทส่งให้สวีฮองเฮา ตอนแรกนางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งใด นางกลับรู้สึกดีใจขึ้นมา ของที่ฝ่าบาทส่งให้ฮองเฮา ในความหมายของมันนั้นเหมือนจะแตกต่างกับฮองเฮาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฝ่าบาททำเช่นนี้ไม่ต่างกับบอกว่านางทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮา

.

.

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!