พันเก้าเล่าสิบ
สวัสดีนักอ่านที่น่ารักของ “พันเก้า” ทุกท่านนะคะ
ในที่สุด เสือซ่อนรัก ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักฟินๆ ปนดราม่าเล็กน้อย(เล็กน้อยจริงๆ) ของ เสือพยัคฆ์ ผู้ชายแบดๆ แต่รักดุ กินดุ กินจุ แถมยังรุกหนักมาก กับ สายขิม ผู้หญิงเย็นชาหน้าตายที่มีปมฝังใจในอดีต
และที่สำคัญ... ใจแข็งมาก!
อ่านไปเรื่อยๆ จะเห็นการรุกหนักและความหน้ามึนของเฮียเสือ ทำให้หลงรักเฮียหัวปักหัวปำเลยล่ะ และอาจจะหงุดหงิดปนหมั่นไส้เจ้ขิมเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งรำคาญนางเลยนะคะ ฮ่า! ชีวิตนางมีปมฝังใจมากจริงๆ หากนางจะใจแข็งกับเฮียก็คงไม่แปลก แต่รับรองเลยว่าจบฟินแน่นอนค่า และยังมีสปอยไปเรื่องอื่นด้วยค่ะ
ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นแบบเซ็ตนะคะ
ชื่อเซ็ต SIBLING ประกอบด้วย
เรื่องแรก เสือซ่อนรัก [เสือพยัคฆ์ x สายขิม]
เรื่องที่สอง สิงห์ขังรัก [สิงห์คำราม x สายซอ]
ขอบอกเลยว่าสนุกครบรสทั้งสองเรื่องแน่นอนค่ะ
หากรับเฮียเสือไปกอดแล้วอย่าลืมรับเฮียสิงห์ไปกอดอีกคนนะคะ
สำหรับนักอ่านที่เพิ่งรู้จักพันเก้าจากเรื่องนี้เรื่องแรก
และนักอ่านที่รักและติดตามพันเก้ามานาน พันเก้าขอขอบคุณจากหัวใจดวงน้อยๆ
ดวงนี้เลยค่ะ
ขอให้ทุกท่านอ่านนิยายเรื่องนี้อย่างมีความสุข
และสนุกไปกับทุกๆ ตัวอักษร เริ่มอ่านตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้ายไปพร้อมๆ กันนะคะ
สุดท้ายนี้...
ขอบคุณสำหรับการติดตามทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ของพันเก้า
ขอบคุณที่สนใจและรอคอยกันเสมอแม้บางครั้งจะอัพช้าไปบ้าง
ขอบคุณที่ให้โอกาสดีๆ กับนักเขียนสายเฉื่อยคนนี้
และสุดท้าย... ขอบคุณที่รักกันนะคะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ
รักพวกเธอสุดพลัง... พันเก้า
“ดื่มเยอะๆเลยนะขิมงานนี้จัดเพื่อเธอโดยเฉพาะเลยนะรู้ไหม” เสียงจีบปากจีบคอดังพร้อมมือที่ดันแก้วเหล้าใส่มือบาง เจ้าของชื่อใช้ปลายนิ้วขยับแว่นสายตากรอบสีดำแนบชิดใบหน้า ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของเธอช่างขัดกับสถานที่ที่นั่งอยู่เสียเหลือเกิน แม้จะดูขัดหูขัดตาคนในกลุ่มอยู่บ้างแต่ก็สร้างความสนุกปนสมเพชยามทิ้งสายตามองเธอ
“เอ่อ… ขิมดื่มไม่ได้” มือกำแก้วเหล้าสีเข้มแน่น ความลำบากใจฉายชัดบนใบหน้า ทั้งที่นี่คือโอกาสในการเข้าสังคมของเธอแท้ๆ แต่เธอกลับไม่มีความกล้ามากพอ
สายขิม เด็กเรียนดีของสายชั้นผู้เป็นที่รักของอาจารย์ ซ้ำยังควบตำแหน่งนักเรียนดีเด่นสามปีซ้อน ทว่าเพราะความฉลาดเกินไปแถมยังใส่แว่นหนาเตอะ ทำให้เธอใช้ชีวิตมอปลายอย่างไร้เพื่อนฝูง หลายครั้งหลายหนที่เธอโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง บ้างนินทา บ้างเมินเฉย ทำกับเธอเหมือนไร้ตัวตน เพียงเพราะคนเหล่านั้นอิจฉาเธอ ทั้งเรียนดีกว่า ฉลาดกว่า อาจารย์รักและเอ็นดูมากกว่า ความริษยาจึงมาลงที่เธอ
สังคมปัจจุบันการ Bully มีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาหรือที่ทำงาน แม้แต่ในโลกโซเชียลยังล้วนเกิดการ Bully ให้เห็นอยู่เสมอ เธอจึงทำใจให้ชินกับสิ่งที่ต้องประสบพบเจออยู่ทุกวี่ทุกวัน
มันก็แค่การแกล้งของพวกเด็กๆ
เธอคิดแบบนั้น และเลือกที่จะไม่สนใจ พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในมุมของเธอ ไม่วุ่นวายกับใครถ้าไม่จำเป็น กระทั่งวันสุดท้ายของการจบการศึกษา สายขิมคว้าผลการเรียนอันดับหนึ่งตามความคาดหมาย และสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนสอบอันดับต้นๆ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนจนถึงขั้นขึ้นป้ายหน้าประตูโรงเรียน
แน่นอน… ความริษยาจึงเพิ่มมากขึ้น
ทว่าตอนจบพิธีนั้น เธอได้รับคำชวนจากเพื่อนร่วมห้องซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยแยแสเธอสักนิด แต่วันนี้กลับเข้ามาชวนคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้วยความอ่อนต่อโลกเธอตกปากรับคำมางานเลี้ยงเรียนจบของห้อง และกำลังถูกเพื่อนๆ กลุ่มนั้นยัดเหยียดให้ดื่มเหล้า
“ไม่เป็นไรหรอกสายขิม ดื่มแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่เมาหรอก” ยิหวา ดาวเด่นประจำโรงเรียนคลี่ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งขม เพื่อนคนอื่นพยักหน้าสมทบ
“ดื่มเถอะน่า ยิหวาอุตส่าห์ชวนทั้งทีนะ” ซอลลี่กรีดนิ้วลงบนแก้วตัวเองแล้วขยิบตาส่งให้ สายขิมเพิ่งสังเกตว่าในกลุ่มที่นั่งล้อมรอบเธออยู่นี้ล้วนเป็นสาวสวยประจำโรงเรียนทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับตัวเธอที่สวมแว่นหนาเตอะ ผมเผ้ารวบเป็นหางม้า หน้าตาทาเพียงแป้งบางๆ ให้อารมณ์เชยเฉิ่มเสียจนตัวเองยังรู้สึกอายขึ้นมา
“งะ งั้นแค่นิดเดียวพอนะ”
ยิหวาส่งสายตาเลศนัยกับซอลลี่ขณะจ้องสายขิมยกแก้วจรดริมฝีปาก ปลายนิ้วเรียวยื่นดันก้นแก้วขึ้นกะทันหันส่งผลให้คนที่กำลังดื่มถึงกับสำลัก ความขมเปร่าเย็นเฉียบไหลลงคอหลายอึก สายขิมไอค่อกแค่กออกมา หน้าตาภายใต้แว่นหนาแดงก่ำ หอบหายใจแทบไม่ทัน
“แค่กๆ ขะ ขมมากเลย”
“ฮ่าๆ ก็มันเหล้านี่นาสายขิม อ่ะนี่ ดื่มนี่ตามสิจะได้ไม่ขม” ยิหวาหัวเราะ แก้วใสใบเล็กถูกส่งให้สายขิม เธอรับด้วยสีหน้างุนงง “อันนี้มีไว้ดับขมน่ะ”
“อ่า งั้นเหรอ ขอบคุณนะ” คำขอบคุณใสซื่อแสนวางใจของเธอเรียกรอยยิ้มร้ายจากสองสาว ทว่าเธอกลับมองไม่เห็น เมื่อยกแก้วใสขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เธอสำลักขึ้นมาอีกรอบ “แค่กๆ ขมกว่าเก่าอีก!”
“ฮ่าๆ เธอนี่ตลกจัง! นั่นมันวอดก้านะ! เธอดื่มมันจริงๆ เหรอเนี่ย!” เสียงหัวเราะจากทุกคนสร้างความอับอายให้กับสายขิมอย่างมาก ตอนนี้เธอกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว สายขิมอยากจะลุกขึ้น แต่ถูกมือบางรั้งให้นั่งลงที่เดิม ปลายเล็บแหลมจิกแน่นจนต้องเบ้หน้า “จะรีบไปไหนล่ะขิม พวกเรายังสนุกกันอยู่เลยนะ”
“นั่นสิๆ จะรีบกลับไปไหนล่ะ นี่เพิ่งจะสองทุ่มเองนะ” ซอลลี่ช่วยสมทบ “หรือว่าเด็กอนามัยอย่างเธอต้องนอนก่อนสองทุ่มเหรอ”
สายขิมก้มหน้าซ่อนความแดงก่ำ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ผสมกับความอับอายจากเสียงหัวเราะรอบตัวทำให้เธอรู้สึกมึนเมา ร่างกายร้อนผ่าวแปลกๆ สายตาพร่าเบลอไปหมด
ยิหวาส่งสายตากับซอลลี่ เธอส่งข้อความหาใครคนหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืนโดยคว้าแขนสายขิมให้ลุกตาม ซอลลี่ลุกจับแขนสายขิมอีกข้าง กลายเป็นว่าทั้งสองกำลังหิ้วปีกสายขิมซ้ายขวา
“สายขิมเมาแล้ว เดี๋ยวพวกฉันพาเธอส่งขึ้นแท็กซี่กลับบ้านก่อนแล้วกัน”
ทุกคนพยักหน้าอืออออย่างไม่ใส่ใจนัก ทั้งสามเดินออกมาหน้าผับ ขึ้นรถยิหวาขับพามาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
“ยัยนี่ตัวหนักชะมัด ชิ!” ซอลลี่ปัดมืออย่างรังเกียจเมื่อโยนร่างบางลงบนเตียงเรียบร้อย เธอมองยิหวาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง “หมอนั่นมาหรือยัง?”
“อยู่ที่คลับด้านล่างแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นมา ทิ้งมันไว้นี่แหละ”
“ก็ดี แล้วคีย์การ์ดล่ะ?”
“หมอนั่นมีใบหนึ่ง นี่อันสำรอง ฉันยืมไว้ เอาไปคืนก็จบล่ะ” คีย์การ์ดสีขาวในมือที่มีตัวเลข 909 ติดอยู่ถูกแกว่งไปมา ยิหวาปรายตามองร่างบางไร้สติบนเตียง สายตาเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง “ความผิดของเธอเองนะสายขิม เพราะเธอขวางหูขวางตาฉันเกินไป อย่าโทษฉันล่ะ ถือว่านี่คือการแก้แค้นก่อนจากแล้วกัน”
ยิหวามักเป็นที่หนึ่งเสมอทั้งหน้าตาและฐานะ มีเพียงการเรียนเท่านั้นที่ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไงก็ยังทำได้แค่ที่สอง พ่อของเธอเป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ มีหน้ามีตาในสังคม ไม่ว่าจะด้านไหนเธอก็ทำได้ดีมาตลอด แต่ผลการเรียนกลับไม่เป็นที่น่าชื่นชม ถ้าหากไม่มีสายขิม ผลการเรียนอันดับหนึ่งคงเป็นของเธอไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ
“ไปเหอะ บายนะยัยเด็กเนิร์ดสมควรตาย ฮึ!” ซอลลี่คลี่ยิ้มร้ายใส่ร่างบนเตียง ทั้งสองเดินออกจากห้องไปพร้อมประตูที่ปิดลงและชีวิตที่พังทลายของสายขิม
ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของเธอ
ปึก!
แกร็ก!
“เวรเอ๊ย…” เสียงเมามายเจือหัวเสียดังจากริมฝีปากหนาที่ยังคาบมวนบุหรี่อยู่ ดวงตาคมกริบดุจสัตว์ป่าจ้องร่างสูงของคนที่เดินมาชนเขาอย่างไม่กลัวตาย
“เฮ้ย! วอนตีนเหรอวะ!” น้ำเสียงเข้มกระชากถามจากด้านหลัง ลมวูบหนึ่งผ่านร่างเขาไปพร้อมกับร่างหนาตรงหน้าที่ปลิวไปติดผนัง เจ้าของการกระทำสุดห่ามยืนหันหลังยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนอกชายคนนั้น “ชนเฮียเสือนี่คืออยากตาย?”
“อั่ก…!” แรงกดปลายเท้าเพิ่มขึ้น ชายผู้เคราะห์ร้ายถึงกับตาสว่างสร่างเมาทันที “ขะ ขอโทษครับ อั่ก!”
“ถ้าขอโทษแล้วหายจะมีตำรวจไว้ทำเหี้ยไรครับ” อีกเสียงหนึ่งกดต่ำถามก่อนตามมาด้วยร่างสูงในชุดสีขาวตั้งหัวจรดเท้า มาดของเขาคล้ายเทวดาขัดกับรอยยิ้มปีศาจบนใบหน้าสิ้นเชิง
“เอาไงกับมันดีล่ะเฮีย” กวิน เจ้าของฝ่าเท้าที่ยังกดบนอกชายบนพื้นหันมาถาม เรือนผมสีเพลิงโดดเด่นในความมืด ดวงตาโหดเหี้ยมทอประกายสนุกผิดกับสถานการณ์
“…” คนถูกถามเพียงปรายตามองอย่างหมดอารมณ์จะใส่ใจ วันนี้เขาดื่มไปค่อนข้างหนัก รู้สึกได้ถึงความเดือดพล่านของเลือดในตัว
“เฮียเสือ จะเอาไง”
ร่างสูงถอนใจหนักๆ ก้มเก็บคีย์การ์ดของตัวเองที่โดนชนจนตกขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง เขาไม่อยากเสียเวลาจึงสะบัดมือเป็นเชิงสั่งว่าปล่อยมันไป ฝ่าเท้าถูกยกออกอย่างไม่เต็มใจนัก ชายคนนั้นรีบลุกขึ้นเก็บของบนพื้นแล้ววิ่งลนลานหนีไปท่ามกลางสายตาคุกรุ่นของชายผมสีเพลิง
คนกำลังอยากมีเรื่องแท้ๆ น่าเสียดายจริง…
“พวกมึงกลับไปได้ล่ะ”
“โอ้โห… พอจะได้กินเหยื่อก็ไล่เลยนะเฮีย”
“หรือมึงจะกินด้วย?” คิ้วหนาเลิกนิดๆ มองรุ่นน้องที่เดินตามมาจากไนต์คลับของโรงแรม
“ว่าแต่อยู่ห้องไหนเหรอครับ เธอได้บอกไหม?” เร็น หนุ่มชุดขาวขมวดคิ้วถาม สายตามองไปทางลิฟต์
“ห้อง 606 มั้ง...” คำตอบของเขา ทำสองหนุ่มถอดถอนใจพร้อมกัน
“ดูใหม่อีกทีเถอะครับ” น้ำเสียงระอาเอ่ยแนะ
“ทำไม? พวกมึงคิดว่าคนอย่างเสือพยัคฆ์จะจำผิด?”
“ก็เพราะเป็นเสือพยัคฆ์นี่แหละ”
“น่าห่วงสุดๆ เลยครับ”
รังสีอันตรายแผ่กระจายมาจากร่างสูงเจ้าของนาม เสือพยัคฆ์ เขาปรายตามองรุ่นน้องคู่ใจทั้งสองด้วยสายตาเชือดเฉือน กล้ามากที่ดูถูกเขา
“งั้นเอาไปดูเอง!” คีย์การ์ดสีขาวถูกล้วงจากกระเป๋าโยนใส่มือกวินที่ยกขึ้นตวัดรับ เขาชะงักพลางถอนใจอีกรอบ
“นี่มันห้อง 909 ต่างหากล่ะเฮีย จริงๆ เล้ย!”
“…” เสือพยัคฆ์หลุบตาลง คิ้วเรียวขมวด เขามองผิดเหรอวะ…
“งั้นชั้นเก้านะครับ เชิญ” ประตูลิฟต์เปิดออก เมื่อกดชั้นเก้าเสร็จ เร็นจึงเดินออกมาแล้วผายมือให้เสือพยัคฆ์เดินเข้าไป ร่างสูงเซเล็กน้อยแต่ก็ยังทรงตัวเดินเข้าลิฟต์
“เฮียเดินไหวไหมเนี่ย ชักห่วง”
“ไม่ต้องเสือกทุกเรื่องก็ได้ กูไม่ได้เมาขนาดนั้น”
“คร้าบๆ งั้นขอให้กินเหยื่ออย่างเอร็ดอร่อยนะเฮีย เนื้อนมไข่เบอร์นั้น รองรับเสือกินดุอย่างเฮียได้ยันเช้าแน่นอน ฮ่าๆ” กวินหัวเราะร่วนก่อนจะถูกเร็นเตะขาแรงๆ หนึ่งที เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าเหี้ยมๆ ของคนในลิฟต์
เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง รังสีกดดันพลันหายไปทันที พวกเขาถอนหายใจเฮือก ส่งสายตาให้กันเป็นเชิงว่า ‘เกือบกระตุกหนวดเสือเข้าแล้วสิ’
ติ้ด!
ประตูห้อง 909 ถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงเดินเข้ามาภายใน เสียงกริ๊กเบาๆ ดังตามหลัง เจ้าของร่างสูงไม่ได้ใส่ใจ สาวเท้าเดินมาถึงเตียงนอนซึ่งมีร่างบางนอนหันหลังให้อยู่ เขาหลุบตามองเธอแวบเดียวแล้วเอื้อมปิดโคมไฟ
กฎของเสือพยัคฆ์มักชอบล่าในความมืด ไม่ว่าเหยื่อจะน่ามองน่าขย้ำเพียงไหนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความตื่นเต้นระหว่างกินเหยื่อมันคือสัญชาตญาณของสัตว์ป่า โดยเฉพาะเสือนักล่าอย่างเขา
และเหยื่อที่เขาหมายตา… ล้วนถูกล่ามาอยู่ใต้ร่างเขาทั้งสิ้น!
“…ขิม… สายขิม”
“…”
“เจ้!”
แรงเขย่าจากฝ่ามือเรียกสติล่องลอยของฉันให้กลับมาที่เธอสำเร็จ ใบหน้าสวยของน้องสาวเด่นชัดตรงหน้า คิ้วเรียวขมวดนิด ๆ สายตามีความยุ่งยากใจ
“เป็นไรอ่ะ เค้าเรียกเจ้นานแล้วนะ”
“อือ มีไรล่ะ”
“เมื่อกี้ม้าโทรมาถามว่าจะกลับกี่โมง เค้าตอบสี่ทุ่ม ถ้าม้าโทรถามเจ้ก็ตอบให้ตรงกันนะ”
“แล้วเตี่ยยอมเหรอ” ฉันเลิกคิ้วถามน้องสาวร่วมสายเลือด เสียงดนตรีรอบตัวดังมากจนต้องยื่นหน้าเข้าใกล้กันเพื่อสื่อสาร
“ยอมก็แปลกสิเจ้! เตี่ยเคยยอมอะไรพวกเราด้วยเหรอ?”
“งั้นก็รีบกลับสิสายซอ”
สายซอชักสีหน้าใส่ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฉันเบือนหนีไปทางอื่น เราสองคนพี่น้องนั่งอยู่ในผับนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน สายซอโทรเรียกให้ฉันมาหาที่นี่ ตอนนั้นฉันกำลังทำงานพิเศษอยู่ เพราะความห่วงน้องจึงทิ้งงานมา แต่ผลก็คืออย่างที่เห็น…
“ยัยซอ แกยี่สิบแล้วนะ เลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว”
“พอเถอะเจ้ เค้าเบื่อฟัง อีกอย่างนะ เจ้จะรีบกลับไปทำไมบ้านแบบนั้น บ้านที่ไม่ได้ต้องการเราสักนิด” ความน้อยใจฉายชัดบนใบหน้าสวย เธอยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ฉันมองแล้วถอนใจเบา ๆ
“เอาเถอะ เจ้จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแกอยากจะกลับแล้วกัน โอเคไหม?” แก้วเหล้าสีอำพันในมือถูกยกดื่มจนหมด ความช่ำชองในรสชาติขมปร่าทำให้สีหน้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
“เค้ารักเจ้ก็ตรงนี้แหละเจ้สายขิมคนสวยของซอ!”
สายขิม คือชื่อของฉัน ฉันมีพี่น้องสามคน ตัวฉันเป็นลูกสาวคนโต สายซอคือลูกสาวคนกลาง และยังมีสายซึงน้องชายคนเล็กอีกคน ครอบครัวฉันมีเชื้อสายไทย-จีน แต่เพราะแม่ชอบดนตรีไทยมากจึงตั้งชื่อลูกตามเครื่องดนตรีไทย พูดถึงครอบครัวคนจีน แน่ล่ะ ไม่ว่าครอบครัวไหนก็มักจะรักลูกชายมากกว่าลูกสาว บ้านฉันก็เช่นกัน เตี่ยกับม้ารักน้องชายฉันเหนือสิ่งอื่นใด ตามใจสายซึงทุกอย่าง ขณะที่ฉันกับสายซอซึ่งเป็นลูกสาวกลับถูกบีบบังคับ ถูกตีกรอบสารพัด
เมื่อก่อนฉันเคยเป็นเด็กดี เป็นลูกสาวที่ดีของเตี่ยกับม้า ทั้งเรียนดี ประพฤติดี ส่วนหนึ่งเพราะคาดหวังความรักความเอาใจใส่จากพวกท่าน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิม นั่นคือไม่ว่าฉันจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเตี่ยกับม้าอยู่ดี
หลังจากเกิดเรื่องที่ทำให้ชีวิตของฉันต้องพังเมื่อสองปีก่อน ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผลการเรียนตกลง เกรดร่วงจนม้ากลุ้มใจ ฉันเริ่มกลับบ้านดึก เริ่มคบเพื่อนไม่ดี เรียกได้ว่าช่วงปีหนึ่งนั้นฉันผ่านชีวิตที่เหลวไหลมาพอสมควรเลยล่ะ
กระทั่งขึ้นปีสอง สายซอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน แถมยังเป็นคณะเดียวกันอีกด้วย ตั้งแต่นั้นน้องก็เริ่มทำตัวติดฉันมากขึ้น ด้วยเพราะเราเรียนคนละโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราสองพี่น้องไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน
สายซอเรียนโรงเรียนสตรีซึ่งเป็นโรงเรียนประจำมาโดยตลอด นาน ๆ ทีจะกลับบ้านครั้ง แต่เราสองคนพี่น้องก็รักกันดี พอมีโอกาสได้มาเรียนด้วยกัน เธอจึงติดฉันเป็นพิเศษ เพราะอย่างนั้นฉันจึงเลิกทำตัวเหลวไหลเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้อง และฉันก็ทำได้ดีมาตลอดหนึ่งปีเต็ม แต่กลับเป็นสายซอเสียเองที่ชอบมาเที่ยวในที่แบบนี้ แล้วก็เรียกให้ฉันตามมาดูแลทุกครั้งเลย
“แล้วนี่เจ้เป็นไงมั่ง ปีสามงานเยอะเหรอ”
บทสนทนาระหว่างพี่น้องผ่อนคลายลงหลังจากต่างคนต่างเงียบสักพัก สายตาหลายคู่จับจ้องพวกเราจนรู้สึกได้ ความจริงตั้งแต่เข้ามานั่งก็ถูกมองมาตลอด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาทัก ด้วยเพราะสีหน้านิ่ง ๆ กับสายตาเย็นชาของเราสองคนนั้นคล้ายกันมาก แผ่รังสีไม่น่าเข้าใกล้เหมือนกัน สมกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเสียจริง
“ก็ไม่เท่าไหร่ คงไม่เยอะเท่าปีสองหรอก”
“อืม… งั้นเหรอ” เสียงครางรับเอื่อย ๆ จากสายซอบ่งบอกให้รู้ว่าเธอเริ่มเมาแล้ว ยัยนี่เป็นคนคออ่อนแต่ไหนแต่ไรแต่ก็ยังจะฝืนดื่มเข้าไปอยู่ได้ มองคนไม่เจียมตัวด้วยปลายสายตา แย่งแก้วเหล้าออกจากมือน้องสาว
“พอแล้ว กลับเหอะ”
“เจ้นี่ทำตัวเหมือนม้าเข้าไปทุกวันแล้วนะ ไม่สิ… จู้จี้ยิ่งกว่าม้าซะอีก ฮ่า ๆ” สายซอฟุบหน้าลงบนแขนแล้วจ้องหน้าฉัน ดวงตาหวานหรี่ลง ริมฝีปากขยับยิ้มบาง “แต่เค้าก็ชอบเจ้ที่เป็นแบบนี้มากกว่าเมื่อก่อนนะ เจ้ตอนนี้ถึงจะเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้อ่อนต่อโลก ไม่อ่อนแอใสซื่อ แถมพอเลิกใส่แว่นเชย ๆ นั่นแล้วก็ดันสวยมากอีกด้วย ดูสิ สวยกว่าเค้าอีกนะ”
“เมาแล้วเพ้อเจ้อตลอด” ฉันดุน้องทางสายตา สายซอหัวเราะคิกคัก ดวงหน้าหวานพริ้มเพราเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างร้ายกาจ หากฉันไม่นั่งอยู่ด้วย ป่านนี้คงมีหนุ่มไม่รู้กี่คนกรูกันเข้ามาวุ่นวายกับเธอแน่ ๆ
“เค้าพูดจริงนะเจ้ เค้าชอบเจ้ตอนนี้จริง ๆ เมื่อก่อนเจ้เอาแต่เรียน พอวันหยุดเค้ากลับบ้าน เจ้ก็ไปเรียนพิเศษ เราแทบไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำ เค้าเหงามากเลยนะรู้ไหม” พอเริ่มเมา ยัยนี่ก็จะเริ่มพูดมาก ฉันไม่ได้ห้ามสายซอพูด แต่ห้ามมือยัยตัวแสบไม่ให้แตะแก้วแทน “ตอนเจ้ไม่อยู่บ้าน เค้าแทบไม่อยากกลับไปเลยรู้ป่ะ! บ้านที่เย็นชืด บ้านที่ไร้ความอบอุ่นแบบนั้น…”
“ไม่เอาน่า เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วสายซอ แกก็รู้ว่าเตี่ยกับม้ารักพวกเรา เพียงแต่…” ฉันนึกหาคำมาปลอบใจน้อง
“เพียงแต่รักนั้นอยู่ลึกเกินไปที่จะแสดงออกงั้นสินะ ฮึ” สายซอต่อคำพูดให้ฉัน ไม่อยากจะยอมรับเลยว่านั่นคือความจริง ที่ผ่านมาเตี่ยกับม้าเลี้ยงเราด้วยความเย็นชาจริง ๆ แม้แต่กอดครั้งล่าสุดฉันยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกท่านรักและใส่ใจแต่สายซึง ขณะที่เอาแต่เข้มงวดกับฉันและสายซอตลอด “เกิดเป็นลูกสาวมันผิดตรงไหนเหรอเจ้… เค้าก็อยากได้ความรักจากเตี่ยกับม้าเหมือนกันนะ”
“...”
ฉันได้แต่ถอดถอนใจ ลูบผมสั้นประบ่าสีเขียวแสนเปรี้ยวเข็ดฟันของน้อง นึกถึงตอนที่เตี่ยกับม้าเห็นสีผมของสายซอ ท่านโกรธมากจนไล่น้องออกจากบ้านเลยล่ะ ตอนนั้นฉันต้องไปตามน้องจากบ้านเพื่อนยันดึกดื่น ปลอบน้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้อดทนอีกหน่อย อีกไม่นานฉันจะขอม้าย้ายออกมาอยู่เองแล้ว โดยใช้ข้ออ้างว่าต้องฝึกงานและใกล้มหาวิทยาลัย ไปกลับสะดวก ถึงตอนนั้นฉันจะชวนสายซอมาอยู่ด้วยกัน ฟังดังนั้นน้องจึงยอมกลับบ้านกับฉัน ยอมอดทนให้เตี่ยกับม้าดุว่า แต่สุดท้ายสายซอก็ยืนกรานว่าจะไม่ย้อมสีผมกลับอยู่ดี
น้องฉันมันดื้อจริง ๆ นั่นแหละ แต่ฉันก็เข้าใจน้องดีกว่าใคร
“สายซอ อยู่นี่นี่เอง!” เสียงตะโกนแทรกเสียงดนตรีจากด้านหลังทำให้ร่างบางที่กำลังฟุบหน้าบนโต๊ะสะดุ้งตัวขึ้น ฉันมองข้ามไหล่น้องไปเห็นร่างสูงกำลังเดินแหวกผู้คนมาทางนี้ สีหน้าถมึงทึงลอยเด่นมาแต่ไกล
“ซวยแล้วเจ้! เค้าไม่อยากเจอจีซัสตอนนี้!” สายซอลุกขึ้นคว้ากระเป๋าข้างหนึ่ง คว้ามือฉันอีกข้างหนึ่ง แล้วพาเดินแทรกผู้คนออกมาอีกทาง ฉันเดินตามอย่างทุลักทุเล หันกลับไปมองด้านหลังเห็นร่างสูงเจ้าของชื่อจีซัสเบิกตากว้างก่อนจะส่งสายตาโกรธจัดมาทางพวกเรา “หมอนั่นมาที่นี่ได้ยังไงกัน! อยากจะบ้าตาย!”
“เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”
พวกเราเดินมาถึงส่วนของหลังผับซึ่งเป็นทางเดินมืดสลัวทอดยาว สายซอปล่อยมือฉัน หันไปมองด้านหลังอยู่ตลอด
“จีซัสต้องตามมาทันแน่ ๆ อ่ะเจ้! ทำไงดี?!” พอเห็นท่าทางลนลานของน้อง ฉันก็เลิกสงสัยไว้กลับไปค่อยถามแล้วกัน ฉันมองไปทางบันไดหนีไฟ จับมือสายซอแล้วพาเดินไปทางนั้น ผลักประตูเข้ามา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นบุหรี่อบอวลจนรู้สึกแสบจมูก แต่ไม่มีเวลาแล้ว ต้องดึงน้องเข้ามาซ่อนตรงนี้ก่อน
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้ล่อหมอนั่นไปที่ลานจอดรถ หลอกให้เขาเข้าใจว่าแกขึ้นแท็กซี่กลับไปแล้ว” จับไหล่น้องมายืนพิงผนังข้างประตูหนีไฟ ดวงตาสายซอฉายแววกังวลเล็กน้อย ฉันย้ำ “จบเรื่องเจ้จะกลับมารับ ถือโทรศัพท์ไว้ล่ะ แล้วอย่าไปไหน”
“คิก… เค้ายี่สิบแล้วนะเจ้ ไม่ใช่ห้าขวบ” เสียงขบขันเจือความเมามายของสายซอทำฉันนึกหมั่นไส้ดีดหน้าผากเนียนใสไปหนึ่งที
“อายุยี่สิบแต่พอเมาแล้วเหมือนเด็กห้าขวบอย่างแกน่ะ มันต่างกันตรงไหนไม่ทราบ”
“ค่า ๆ เค้าจะไม่ไปไหน ไม่ดื้อ ไม่ซน จะรอเจ้มารับตรงนี้เลย” สายซอทำท่าตะเบ๊ะแบบตำรวจ ใบหน้าเรื่อแดงเพราะพิษเหล้าคลี่ยิ้มซุกซน
“อย่าไปไหนล่ะ มีอะไรรีบโทรหาเจ้ เจ้จะรีบมา” กำชับน้องเสร็จจึงผลักประตูกลับเข้ามาในโถงทางเดิน มองประตูหนีไฟอย่างกังวลเล็กน้อยก่อนเดินไปทางประตูด้านหลังผับ
ลานจอดรถของผับนี้อยู่ด้านหน้า ด้านข้างจะเป็นถนนสำหรับเรียกรถแท็กซี่ ฉันเดินอ้อมจากด้านหลังผับมาเพื่อจะตรงไปทางถนน ในตอนนั้นเองร่างสูงของใครคนหนึ่งเปิดประตูตามหลังออกมา
เป็นจีซัส… แฟนของสายซอ
“สายซออยู่ไหน?” เขาถามเสียงห้วนทันทีที่เห็นฉัน ถ้าพูดกันตามจริงแล้วหมอนี่เด็กกว่าฉันหนึ่งปี เขาควรเคารพฉันให้มากกว่านี้ แม้ไม่ใช่ในฐานะของพี่สาวแฟนก็ควรเคารพในฐานะอาวุโสกว่า แต่จะไปเอาอะไรกับคนนิสัยใจร้อนมุทะลุอย่างจีซัสได้ล่ะ
“ขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว” ฉันตอบหน้าตาย มันคือหน้ากากที่ฉันมักสวมต่อหน้าคนอื่น เย็นชาหน้าตาย… นั่นแหละตัวฉัน
“โกหก ถ้าซอขึ้นรถไปแล้วทำไมเธอยังอยู่นี่ล่ะ เธอโกหกฉันใช่ไหม?” ถือว่าฉลาด…
“ฉันอยู่ต่อเพราะมีนัด ยังสงสัยอะไรอีกไหม?” แต่ฉันฉลาดกว่า
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงพูดโกหกด้วยสีหน้านิ่งแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด แต่เพราะฉันเปลี่ยนไปแล้ว กับอีแค่คำโกหกโง่ ๆ ไม่กี่คำ สบายมาก
ฉันหมุนตัวจะเดินกลับเข้าผับ ต้องหลอกให้จีซัสตามสายซอไปก่อน ถึงจะกลับไปหาสายซอที่บันไดหนีไฟแล้วพากลับบ้านได้
“เดี๋ยว!” แรงฉุดที่แขนดึงร่างฉันหันกลับไปหาเขาอย่างเสียไม่ได้ สายตาเย็นชาจ้องตาเจ้าของการกระทำหยาบคาย จีซัสเพิ่มแรงบีบที่แขน สีหน้าเขาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อคำโกหกของฉัน “ฉันไม่เชื่อว่าซอกลับไปแล้ว ยัยนั่นติดเธออย่างกับอะไร ไม่มีทางกลับไปคนเดียวแน่!”
หมอนี่ฉลาดเกินไปแล้ว… แต่รู้อะไรไหม… จุดจบของคนฉลาดเกินไปมันไม่สวยนักหรอกนะ
“ปล่อยฉัน” แรงกดดันทางสายตาทำให้มือหนายอมคลายออก ฉันยังคงสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมาช้า ๆ ทีละคำ “แฟนคนเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้ สมควรไปตายซะ”
“สายขิม!” จีซัสโกรธแล้ว เส้นเลือดปูดโปนตรงขมับของเขาไม่ได้ทำให้ฉันหวาดหวั่นสักนิด
“ก็ยังจำได้นี่ว่าฉันชื่ออะไร งั้นก็ควรจำใส่หัวเอาไว้ด้วยว่าฉันคือใคร สายซออาจจะยอมนาย แต่ฉันไม่ใช่!”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!