NovelToon NovelToon

สนธยาพิศวง

ตอนที่ 1 ต้องกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

เรื่องเล่าต่อไปนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ทั้งสถานที่ เวลา และชื่อตัวละคร หากชื่อตัวละครซ้ำกับผู้ใดในชีวิตจริง ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณค่ะ 

บางครั้งสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง... โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าผีหรือวิญญาณ และบ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะมีวิธีสื่อสารกับสิ่งนั้น หรือหาวิธีป้องกันตนจากสิ่งเหล่านั้นต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อเดินทางเข้าป่า หรือสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย การสวดมนต์ การบูชายัญ หรือพิธีกรรมอื่นๆตามหลักความเชื่อของตน 

แต่ฉันมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่พระเจ้าสร้างอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่สัตว์ สิ่งของ มนุษย์ รวมถึงผีหรือวิญญาณของมนุษย์ที่ล่วงลับไปแล้ว มันอาจจะอาศัยคู่กับโลกเรามานาน อาจจะก่อนมีมนุษย์ด้วยซ้ำ ซึ่งมันมักจะแสดงตนให้บางคนได้เห็นในบางเวลา ในรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น มาในรูปมนุษย์ บ้างก็มาแต่ครึ่งตัว บ้างก็มาเพียงแค่หัว มันอาจจะมาในร่างของสัตว์ต่างๆนาๆ หรือ...บางครั้ง มาในรูปแบบที่ไม่คาดคิด และไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตฉัน…

ย้อนไปเมื่อสมัยฉันยังเด็ก ฉันอาศัยอยู่กับพ่อ แม่และพี่ชายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคใต้ของไทยติดชายแดนมาเลเซีย หมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่นั้นเครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีต่างๆ ยังเข้าถึงไม่มากนัก หากใครมีมือถือแบบปุ่มกดไว้ในครอบครองก็ถือว่าเริ่ดแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นประถมในโรงเรียนใกล้บ้าน ในทุกๆ วัน หลังเลิกเรียน เด็กๆในหมู่บ้านมักจะมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต่างจากเด็กสมัยนี้พอสมควร เด็กผู้ชาย มักจะเล่นวิ่งไล่จับกัน นัดกันไปตกปลา ยิงนก เล่นหมากรุก ดีดลูกแก้ว ส่วนเด็กผู้หญิง มักจะรวมกลุ่มกันเล่นกระโดดเชือก มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร เล่นขายของ เป็นต้น ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนเป็นอะไรที่สนุกมาก แต่ผู้ปกครองทุกบ้านมักจะย้ำอยู่เสมอว่า เมื่อเล่นนอกบ้านแล้ว ต้องกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกเท่านั้น หากค่ำแล้วยังมีเด็กที่ยังเล่นนอกบ้านอยู่ ลุงๆ ป้าๆ ที่เห็นก็จะไล่ให้กลับบ้านทันที สมัยนั้นฉันกลัวลุงๆ ป้าๆ ข้างบ้านยิ่งกว่าพ่อกับแม่ที่บ้านอีกนะ ชีวิตวัยเด็กมันเป็นอะไรที่น่าจดจำที่สุด และมันก็มีเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำแต่ลืมไม่ลงเช่นกัน…

ซ่อนหา

เวลา 16:30 น.

มันเป็นวันธรรมดาๆ หลังเลิกเรียนของเด็กทั่วไปวันหนึ่ง ที่มักจะมีกิจกรรมให้เล่นกันสนุกๆ และหลังเลิกเรียนของวันนี้ก็เช่นกัน ระหว่างทางกลับจากโรงเรียน เพื่อนๆ จะนัดหมายกันว่าวันนี้จะไปเล่นกันที่ไหน เมื่อตกลงกันได้แล้ว ก็แยกย้ายกลับบ้านของตน หลังจากเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้วฉันก็รีบไปยังจุดที่เพื่อนเขานัดเจอกัน ดูเหมือนฉันจะมาช้ากว่าเพื่อนนะ…

“ทำไมมาช้าจังล่ะป่าน…จะค่ำแล้วเนี่ย” เป็นมิ้งที่ทักฉันเป็นคนแรก หลังจากเห็นฉันวิ่งสี่คูณร้อยมาหากลุ่มเพื่อน “ก็พี่เรานะสิ แอบปั่นจักรยานหนีมาก่อนอ่ะ เราเลยต้องเดินมาเอง…แฮะๆ ” ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง พลันหันไปมองหาพี่ชายตัวแสบซึ่งตอนนี้กำลังวิ่งเล่นปาบอลกับกลุ่มเพื่อนบริเวณสนามหญ้าอีกฝั่ง ส่วนบริเวณที่ฉันกับเพื่อนเล่นอยู่จะเป็นที่ร่ม ซึ่งเต็มไปด้วยต้นเงาะ และต้นมังคุด ชาวบ้านแถวนี้มักจะปลูกสวนข้างบ้าน โดยบ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันพอสมควร เพราะมีต้นไม้ต่างๆ กั้นอยู่ และสนามหญ้าที่เด็กผู้ชายกำลังวิ่งเล่นกันอยู่นั้นจะเป็นบริเวณด้านหลังของบ้านและสวนอีกที…

"พวกเราพึ่งเล่นกระโดดเชือกเสร็จอ่ะ เหนื่อยแล้ว เราเล่นอย่างอื่นกันดีกว่านะ ยังไม่อยากกลับบ้านเลย เรามาเล่นซ่อนหากันดีไหม” ลูกหวายเพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้น

“เออ..ใช่ น่าสนุกดี เดี๋ยวมิ้งเรียก เมษา กับใยไหมแป็บนึงนะ สองคนนั้นเดินช้า...เมษาาาาาา..ใยไหมมมมม… เดินให้มันเร็วๆ หน่อยยยยยย” มิ้งตะโกนเรียกอีกสองคนที่กำลังเดินมาจากสนามหญ้าอีกฝั่ง

เมื่อสองคนนั้นมาถึง ฉันและเพื่อนๆ ก็ตกลงกันว่าจะเล่นซ่อนหากัน โดยทั้งหมดมี 5 คน คือ ฉัน มิ้ง ลูกหวาย เมษา และใยไหม แต่ดูเหมือนใยไหมจะไม่ค่อยอยากเล่นสักเท่าไหร่

"มันจะดีหรอทุกคน เรากลัวยายจันอ่ะ เราไปเล่นที่อื่นดีกว่าไหม” ใยไหมชวนเพื่อนให้ไปเล่นที่อื่นที่ห่างจากบ้านยายจัน ปกติแล้วทุกคนในหมู่บ้านจะรู้ว่ายายจันป่วยเป็นวิกลจริต แกมักจะร้องไห้ หัวเราะเสียงดัง หรือพูดจาคนเดียวอยู่บ่อยๆ แต่แกไม่เคยทำอันตรายใคร เพราะแกมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นานๆ ครั้งจะเห็นแกเดินเล่นใต้ถุนบ้าน

"คงไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงแกนะ แกคงหลับอยู่มั้ง มาๆ มาจับไม้สั้นไม้ยาวกัน ใครได้ไม้สั้น คนนั้นเป็นผู้หา” ลูกหวายพูดขัดขึ้น พร้อมยื่นไม้สั้นไม้ยาว ให้เพื่อนทีละคน และคนที่จับได้ไม้สั้น คือ สายป่าน ซึ่งก็คือตัวฉันเอง

"เฮ้อ...รอดไปเรา" เมษาพูดด้วยความโล่งอก

"งั้นเรารีบไปซ่อนตัวกันดีกว่า หวายจะหาที่ซ่อนแบบที่ป่านหาไม่เจอแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า.." ลูกหวายพูดด้วยความมั่นใจ

"เชอะ อย่าให้ถูกเจอเป็นคนแรกก็แล้วกัน แบร่"  มิ้งพูดด้วยความหมั่นไส้ แล้วเริ่มหาที่ซ่อน เมษากับใยไหมก็จับมือกันไปหาที่ซ่อนเช่นกัน ส่วนฉันก็เริ่มเอามือปิดตาพร้อมนับ 1 ถึง 10...

เมื่อเกมเริ่มดำเนินขึ้น

......เมื่อเกมเริ่มดำเนินขึ้น......

" 1...2...3...4..........." ฉันนับไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ จนรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวนั้นเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มเย็นลง จนกระทั่งนับครบถึง 10 ฉันค่อยๆเปิดตา มองออกไปข้างหน้าแล้วเริ่มหาเพื่อนทีละคน ฉันเริ่มก้าวตามทางเดินเล็กๆ ที่มีหญ้าขึ้นสูงเกือบถึงเข่าขนานทางเดินทั้งสองฝั่ง

'มันคงไม่มีงูพุ่งออกมาหรอกนะ' อดที่จะคิดไม่ได้จริงๆ ฉันเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านอีกหลัง ซึ่งเป็นร้านขายของชำเล็กๆ

'บางทีเมษากับใยไหมอาจจะซ่อนแถวนั้นก็ได้ เพราะก่อนจะเริ่มปิดตานับเลข ฉันเห็นเขาสองคนจูงมือกันมุ่งหน้าไปทางนั้น' ฉันค่อนข้างมั่นใจในความคิดของตัวเอง ฉันเดินไปสักพัก แต่ทว่า...เดินไปเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงร้านนั้นสักที ทั้งที่ปกติแล้วเดินผ่านต้นเงาะแค่ 2-3 ต้น ก็ถึงรั้วกั้นระหว่างสวนกับร้านขายของชำนั้นแล้ว

ทันใดนั้น..

"แกร็ก... " เสียงกิ่งไม้หักจากทางด้านหลัง ทันทีที่หันกลับไปมอง ลมเย็นยะเยือกก็ปะทะบนใบหน้าอย่างจัง พลันได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิวราวจะกระซิบบอกฉันให้เดินไปตามหาต้นตอของเสียงนั่น ฉันพยายามเพ่งมองฝ่ากลุ่มหมอกควันขาวบางๆ ซึ่งไม่รู้ที่มาว่ามันมาจากไหน

'ใครมาเผาพริกเผาเกลือแถวนี้นะ' คิดแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่เมื่อฉันก้าวไปไม่กี่ก้าว หมอกควันก่อนหน้านี้ก็เริ่มเบาบางลง และจางหายไปในที่สุด เหลือไว้เพียงภาพตรงหน้า มันเป็นบ้านยกสูงเก่าๆ ที่ล้อมรอบด้วยต้นมังคุดตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งมันคือบ้านของยายจันนั่นเอง ฉันไม่ใช่ใยไหมที่ดูจะระแวงไปซะทุกเรื่อง และไม่ได้บ้าบิ่นเท่าลูกหวายเช่นกัน แต่ความขี้สงสัยนั้นคือนิสัยของฉันเลย ฉันพยายามเพ่งมองเข้าไปใต้ถุนบ้านของยายจัน ดูเหมือนจะมีเงาตะคุ่มๆ ของใครสักคนอยู่

'จะเป็นมิ้งหรือลูกหวายกันแน่นะ สองคนนั้นมักจะทำอะไรพิเรนทร์ๆอยู่บ่อยๆ' ฉันแอบคิดในใจและพยายามเพ่งมองเงานั้นเรื่อยๆ แต่ทว่าสักพักเงาตะคุ่มๆนั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นกลุ่มควันสีดำจางๆ จนสามารถมองทะลุเห็นต้นมังคุดอีกฝั่งของบ้านได้ เนื่องด้วยฟ้ายังไม่มืดมากนัก มันยังสลัวๆอยู่ แต่ไม่กี่อึดใจภาพต้นมังคุดเหล่านั้นก็เริ่มถูกควันดำนั้นบดบังขึ้นเรื่อยๆ มันเริ่มก่อตัวเป็นก้อนอยู่กึ่งกลางใต้ถุนบ้านยายจัน

ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเงานั้นไม่ใช่มิ้งหรือลูกหวาย และก็ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันฉันก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน มันเริ่มหนาวเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ พลันความคิดไม่ดีก็เริ่มแล่นเข้ามาในสมองทีละนิด

'อันตราย...ฉันต้องรีบออกจากที่นี่ ถึงมันจะอยู่ในสถานะกลุ่มควันเท่านั้น แต่ถ้าเราอ่อนแอ มันย่อมครอบงำเราได้เช่นกัน' เร็วเท่าความคิด ฉันเริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ แต่สายตากลับจ้องก้อนควันสีดำนั้นเราถูกมนต์สะกด ฉันรู้สึกว่าก้าวแต่ละก้าวนั้นหนักอึ้งเหลือเกินราวกับมีบางอย่างยึดขาฉันเอาไว้ ยอมรับว่าตอนนี้ฉันกลัวมาก ฉันพยายามสะบัดขาให้หลุดจากพันธนาการและสายตายังคงจ้องไปที่ควันดำทะมึนนั้้นอยู่ ซึ่งตอนนี้มันเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นและเริ่มเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา

ทันใดนั้น...

"วิ่งงงง...เร็ว...รีบวิ่งหนีเร็ว..." ฉันตกใจพร้อมหันไปทางต้นเสียงซ้ายมือ มันคือเสียงตะโกนของเด็กผู้ชายจากสนามหญ้าอีกฝั่ง ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์และขาทั้งสองก็เป็นอิสระอีกครั้ง โดยไม่เสียเวลาคิดฉันหันหลังแล้ววิ่งไปทางร้านขายของชำอีกครั้งอย่างไม่คิดชีวิต ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีบางสิ่งพยายามวิ่งไล่ตามหลังมา และมีดวงตาเป็นสิบๆคู่กำลังจ้องมองฉันอยู่ แต่ถึงกระนั้นต่อให้เอาควายมาฉุดฉันก็จะไม่หยุดวิ่งเด็ดขาด

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!