"เฮ้ย! เร็วสิวะ กะอีแค่เอาของมาให้พี่ชายมันจะอะไรนัก"
"เออๆ! ก็จะเข้าไปอยู่นี่ไง!" ผมหันไปเอ็ดเพื่อนเมื่อมันเอาแต่เร่งผมอยู่ได้ ก็รู้ทั้งรู้ว่าคนกำลังตื่นเต้น โดยไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าใบหน้าของผมตอนนี้มันต้องซีดไร้สีเป็นแน่ ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดฟืดใหญ่เพื่อเป็นการเรียกขวัญกำลังใจ และค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ กำปั้นน้อยยกขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าให้ดูจริงจังที่สุดก่อนจะส่งเสียงฮึกเหิมในลำคอ แล้วก้าวขาเดินไปยังประตูกระจกด้านหน้าที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว
แต่ไม่รู้ว่าเป็นจังหวะนรกหรืออย่างไร เมื่อมือผมที่กำลังจะเอื้อมจับเพื่อเปิดประตูนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูบานนั้นถูกเปิดออกพอดิบพอดีโดยคนด้านใน
เพราะมันเกิดขึ้นอย่างกระทันหันจนผมไม่มีเวลาได้ตั้งตัว ผมจึงเสียการทรงตัว ผมหลับตาปี๋เตรียมตัวรับแรงกระแทกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเหมือนกับว่าพระเจ้ายังปราณีกันอยู่บ้าง เมื่อเอวบอบบางของผมถูกรวบหมับและออกแรงดึงผมขึ้นไปจนผมสามารถกลับมาทรงตัวได้ปกติ
แต่ด้วยความใกล้ชิดจึงทำให้ผมได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยจนรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมพยายามสูดดมกลิ่นหอมนั้นให้เนียนที่สุดโดยไม่ให้ถูกมองว่าเป็นพวกโรคจิต
"ไอ้ข้าว มึงจะทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาอีกนานมั้ย" เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ที่เห็นน้องชายตนกำลังรุ่มร่ามกับเพื่อนตัวเองอยู่ หลังจากเอ็ดน้องชายเสร็จก็ขอโทษขอโพยเพื่อนตน แต่เพื่อนก็ไม่ได้ถือสาอะไรน้องชายของเพื่อนเลยสักนิด แถมยังยิ้มอ่อนๆคล้ายเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
"ผมเอาเอกสารมาให้ อ่ะๆอย่าเข้าใจผิดไปละ ถ้าแม่ไม่จ้างก็ไม่เอามาให้หรอกนะ!" หลังจากที่ดมจนพอใจก็ผละออกมาจากอ้อมกอดอบอุ่น แม้จะไม่อยากปล่อยแต่ก็ต้องยอมอย่างจำนน
รอให้ได้เป็นแฟนก่อนเถอะ จะกกกอดไม่ปล่อยเลย!
"ขอบใจนะ เฮียให้คนหากันให้วุ่น ดันลืมเอามาซะได้" ผมยืนกอดอกเก็กท่าที่คิดว่าเท่ที่สุดใส่พี่ชาย ซึ่งในสายตาของพี่ชายนั้น เห็นเพียงแมวซนที่กำลังทำตัวเย่อหยิ่งก็เท่านั้น
"มีน้องน่ารักแบบนี้ก็ดีนะ ข้าวปั้นทำให้พี่อยากมีน้องเลยรู้ป่ะ"
"ขะ..ขอบคุณครับ" พี่ชินเอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มน่ามอง ดวงตาของเขาหรี่ลงยามแย้มยิ้ม โดยที่สายตานั้นจ้องมองมาที่ผม เพียงเท่านี้ก็ทำให้อุณหภูมิในร่างกายผมเพิ่มขึ้นจนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ
"ยังไม่เลิกเกร็งอีกเรอะ เสียงสั่นเชียว รู้จักกันมาก็ตั้งนานแล้วนะ" จะชินได้ยังไงเล่า ยิ่งได้เจอกันก็ยิ่งหลงรักเขามากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
"มึงก็อย่าไปแซวน้องกู จะกลับเลยหรือว่าจะอยู่ต่อล่ะ" ประโยคแรกหันไปเลยกับเพื่อน แต่ประโยคหลังหันมาคุยกับน้องชายตน
พี่ชินยังคงยิ้มอบอุ่นส่งมาให้ผม ผมได้แต่กรีดร้องในใจ และตอบกลับพี่ชายไปก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆพี่ชายอย่างแสนเรียบร้อย แม้ภายในอกข้างซ้ายจะเต้นโครมครามจนหูอื้อ ถ้าคุณเป็นผมก็คงไม่ต่างกันหรอก รอยยิ้มจากคนที่แอบชอบเชียวนะใครจะไม่เสียอาการบ้างล่ะ
"ข้าวปั้นดูโตขึ้นเยอะเลยนะ เจอกันตอนนู้นยังตัวนิดเดียวอยู่เลย แถมน่ารักขึ้นมากเลยด้วย" พี่เขามองผมก่อนที่จะพูดออกมา
น่ารักก็รักเลยสิ..
เพียงแค่ได้รับคำชมนิดหน่อยเสียงกรีดร้องภายในก็แผดเสียงดังมากขึ้น จนอยากร้องให้คนได้รับรู้ถึงความฟินนี้ แต่สิ่งที่ผมทำในตอนนี้นั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง ผมเพียงยกมือขึ้นมาเกาแก้มแก้ความเก้อเขินที่ร้อนผ่าวเบาๆ
"แน่นอน! บ้านกูเชื้อไม่ทิ้งแถว พี่มันออกจะหล่อขนาดนี้!"
"พี่ได้ยินมาว่า มีคนตามขายขนมจีบเป็นแถวเลยเหรอ?" ปากก็พูดไปเรียวคิ้วก็เลิกขึ้นทั้งที่ริมฝีปากก็ระบายยิ้มมาให้ผม "แล้วมีคนที่ข้าวปั้นสนใจใครบ้างหรือยัง พี่จะได้ช่วยสแกน"
"ไม่มีใครเหมาะสมกับน้องกูทั้งนั้น!" ผมที่กำลังจะเอ่ยตอบชายในดวงใจแต่ก็ถูกพี่ชายขัดซะก่อน จึงต้องหุบปากฉับ
พี่ขันหันหน้ามามองผมอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยต่อ " ไม่ต้องมีแฟนหรอก น้องคนเดียวพี่เลี้ยงได้ ผู้ชายสมัยนี้มีแต่เหี้ยๆทั้งนั้น!"
ผมหรี่ตามองพี่ชายอย่างเซ็งๆ ใครจะสนเรื่องที่พี่เลี้ยงเขาได้กันเล่า คนดีๆก็ยังมี ไม่ได้มีแต่พวกเหี้ยๆซะหน่อย ผมก็อยากมีแฟนกับเขาบ้างเหมือนกันนะ ยิ่งถ้าเป็น...
ผมช้อนตาขึ้นมองพี่ชิน ซึ่งเขาเองก็มองผมและระบายยิ้มอ่อนๆมาให้ผม เพียงเท่านั้นผมก็เขินจนมือไม้อยู่ไม่สุข จนต้องจิกเข้ากับขาตัวเอง
โอ๊ย...ระทวยจนไม่รู้จะระทวยยังไงแล้ว!
"เฮ้ยๆ ไอ้ขัน ดูน้องมึงมองกูดิ มองกันแบบนี้กูชักจะคิดแล้วนะ ยิ่งน้องมึงน่ารักซะขนาดนี้ด้วย" พี่ชินเอ่ยขึ้นอย่างขี้เล่นตามนิสัยของเจ้าตัว
"เอามะๆ มาเป็นเด็กพี่มั้ยครับ"
เป็นครับ! อย่าทำเป็นเล่นนะพี่ ผมเอาจริง!
"ไอ้ชิน!!" พี่ชายผมดีดตัวลุกขึ้นไปประจันหน้ากับพี่ชินอย่างเอาเรื่อง ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้จะต่อยตีกันจริงๆก็ตามแต่ก็อดใจหายไม่ได้ เพราะใครๆก็รู้กันทั่วว่าสมัยยังเรียนอยู่เฮียเป็นคนยังไง เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รัศมีเชียวล่ะ มีแต่พวกไม่รักชีวิตเท่านั้นที่กล้าลองดี
"จะไปกันได้ยัง!" แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อมีเสียงทุ้มติดเย็นชาเอ่ยขัดขึ้นมาซะก่อน
"อ้าว มาแล้วเหรอ? โทษทีคุยกันเพลินไปหน่อย งั้นก็ไปกันเถอะ!" ผมเหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเย็นชา ซึ่งเขาก็ตวัดสายตามามองผมพอดี จนเป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา
ผมรู้จักกับเขาพร้อมๆกับพี่ชินนั่นแหละ เพราะเขาก็เป็นเพื่อนอีกคนของพี่ขัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเกร็งๆและอึดอัดทุกครั้งที่ได้เจอกัน ก็น่ากลัวขนาดนั้นใครบ้างจะไม่กลัว
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เขาเป็นคนเงียบๆแถมยังหน้าตายตลอดเวลา ตัวก็สูงใหญ่อย่างกับยักษ์ ไหนจะรอยสักนั่นอีก สักเลยนะ..สักแบบสักจริงๆอะ
โดยปกติแล้วเด็กบริหารมักจะมีบุคลิกเนี้ยบๆกันใช่ป่ะ อย่างเฮีย พี่ชินเงี้ย แต่เขาแตกต่างออกไป ถามว่าผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอว่าเขาสัก ก็ผมเห็นมากับตาน่ะสิ
ก็วันนั้นอะฝนดันตกหนักเอามากๆ แล้วบ้านเขาอยู่ไกลก็เลยมาแวะบ้านผมเพื่อรอให้ฝนซาก่อนแล้วค่อยกลับ พอจอดรถเสร็จเขาก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วบิดน้ำออก ซึ่งผมก็เห็นรอยสักของเขาเข้าเต็มตา (จริงๆแล้วผมคิดว่าเป็นพี่ชินเลยมายืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นสอง) มันก็ดูเท่ดีนะ แต่แอบเถื่อนไปหน่อย ยิ่งเขาเงียบๆขรึมๆด้วย
ผมเคยเอาน้ำไปเสิร์ฟเวลาเขามาที่บ้าน (ไม่ได้อยากทำสักนิดแต่โดนแม่ใช้) เขาปรายตามองผมแล้วก็ตอบแค่ 'ขอบคุณ' แค่นั้นจริงๆ ส่วนผมก็วิ่งขึ้นห้องอย่างไว
เพราะแบบนี้แหละผมกับเขาถึงไม่สนิทกันแถมยังอึดอัดด้วย แต่ก็ดีหน่อยพอเขาเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ยังมีเจอกันบ้างอย่างเช่นตอนนี้ ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ให้ความรู้สึกที่แสนยาวนาน
"จะไปชุดนี้จริงหรือ" เมื่อเห็นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนลงมาจากชั้นบน พี่ชายสุดหวงที่นั่งรออยู่ภายในห้องรับแขกด้านล่างต้องหรี่ตามองน้องชายตนอย่างจริงจัง
"ก็ใช่น่ะสิครับ ทำไมเหรอ" ร่างเล็กๆของน้องชายค่อยๆเดินเข้ามาเพื่อย่นระยะห่างของทั้งคู่ สีหน้าของข้าวปั้นฉายแววไม่เข้าพี่ชายตนอย่างสุดจะกลั้น
อุตส่าห์สั่งตัดจากห้องเสื้อแบรนด์ดังเชียวนะ และในงานวันนี้จะให้จืดชืดได้ยังไง เป็นงานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของบริษัททั้งที่ จะน้อยหน้าแขกเหรื่อในงานคงยอมไม่ได้
"พี่ว่ามันโป๊ไป" พี่ชายสุดหวงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินเข้าประชิดตัวน้องชาย พลางจะเอาเสื้อมาคลุมให้แต่น้องชายก็ห้ามกันเสียก่อน
"หยุดเลยเฮีย ไม่เห็นจะโป๊ตรงไหนเลย" มีพี่ที่คอยหวง ค่อยห่วงกันมันก็ดีอยู่หรอก แต่เฮียน่ะชอบมองเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย นี่เขาโตจนเรียนจบแล้วนะ ไม่ใช่ข้าวปั้นตัวเล็กๆในวัยเยาว์นั้นสักหน่อย
"ก็ได้ๆ งั้นไปกันเถอะ" สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ยอมให้กันเหมือนดั่งทุกครั้ง จึงได้รับรอยยิ้มหวานของน้องชายเป็นรางวัล ก็น่ารักแบบนี้ไงถึงได้ต้องหวงมากแบบนี้
สองพี่น้องเดินตรงไปยังลานจอดรถส่วนตัวที่ต่อเติมจากของเดิม เพราะมีนิสัยชอบซื้อรถสวยๆแต่ราคาแพงหูฉี่มาเก็บสะสมไว้ ก็ซื้อแค่ทีละคันนะ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงเยอะจนละลานตาขนาดนี้เหมือนกัน
"เลือกสิ" และก็เป็นอีกครั้งที่ตามใจน้องชาย หรือเป็นเพราะเลือกไม่ถูกกันแน่จึงได้โยนทุ่มให้น้องชายเป็นฝ่ายตัดสินใจ
"แลมโบร์กินีสีมุกคันนั้นแล้วกัน" ข้าวปั้นยืนคิดอยู่เพียงครู่ก็ชี้นิ้วเรียวไปยังเป้าหมาย พี่ชายเห็นอย่างนั้นก็กดปลดล็อครถดังปิ๊บขึ้น ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญน้องชายไปยังรถยนต์คันหรู เมื่อนั่งเข้าที่เสร็จสรรพ เสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ก็ดังกระหึ่มก่อนจะเคลื่อนตัวทะยานไปยังจุดหมายปลายทาง
เพราะเป็นเจ้าของงานจึงต้องมาก่อนใคร แต่ทีมงานและพนักงานที่รับผิดชอบก็กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งกันเหตุฉุกเฉิน แต่ก็ไม่วายที่จะคอยสแตนบายอยู่หากเกิดเหตุที่ไม่ได้อยู่ในการคาดเดา
ภายในงานจัดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่จุคนได้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้แขกที่ถูกเชิญมาจะมีเพียงแค่นักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดี หรือคู่ค้าเท่านั้น แต่ถ้าจะให้จัดในห้องเล็กๆที่ต้องยืนเบียดเสียดกันคงจะเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่ๆ
เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของสถานที่จัดงาน เฮียถึงได้เลือกห้องซะใหญ่โตเวอร์วัง เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมในเครือของเจย์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งที่ชายหน้าตายเป็นผู้ถือครอง และกุมบังเหียน
ถึงจะรวยล้นฟ้าขนาดไหนแต่ถ้าชอบทำตัวชวนขนลุกแบบนั้นก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแมงเม่าที่ชอบเล่นกับไฟอยู่ไม่น้อย ทั้งที่รู้ว่าจะมอดไหม้เป็นจุลแต่ก็ยังพาชีวิตไปถวายอย่างยินยอม
20:00 น.
เป็นช่วงเวลาที่เจ้าของงานอย่างเฮียขันขึ้นกล่าวปราศรัยสักเล็กน้อยบนเวที หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาที่คนอย่างข้าวปั้นรอคอย วันนี้หมายหมั้นปั้นมือไว้แล้วว่าจะทำคะแนนสักหน่อย และที่แต่งตัวแบบนี้มาก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ขาเรียวสวยในชุดสูทสีเข้มที่ถ้ามองมาเผินๆก็ยังดูทางการอยู่บ้าง ท่อนบนมีเพียงสูทตัวนอกเท่านั้น ที่เผยแผงอกบางวับๆแวมๆ พอให้คนมองได้กลืนน้ำลาย แต่ถ้าคุณมองจากด้านหลังก็อาจมีอาการตาพร่าได้ ด้านหลังเปิดโล่งโชว์แผ่นหลังขาวเนียนและบั้นเอวคอดเล็ก แต่ตรงกลางมีเส้นเล็กๆสองเส้นจับยึดสาบเสื้อทั้งสองด้านเอาไว้ไม่ให้กางออก
ออกงานกลางคืนทั้งทีจะจืดชืดได้อย่างไร
"พี่ชิน อยู่นี้นี่เอง" กว่าจะเจอก็กวาดสายตาจนทั่วก่อนสบปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างน่าซบ ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอก
"พี่ออกมาสูดอากาศน่ะค่ะ น้องข้าวปั้นตามหาพี่อยู่หรือคะ"
เคยได้ยินป่ะว่าอย่าไว้ใจผู้ชายพูดคะขา แต่กลับคนนี้พร้อมกระโจนเข้าใส่
"อื้อ ข้างในน่าเบื่อ" ข้าวปั้นทำหน้ามุ่ยปากยื่นจนน่าจับบีบซะให้เข็ด แต่มือก็ดันไวขึ้นมาทำงานประสานกับสมองเสียอย่างนั้น มือหนาของชินบีบหมับจนกลีบปากคนน้องบิดเบี้ยวตามแรงบีบ แต่ก็น่ารักไม่หยอก
"อื้อ เอ็บอะ" ไม่เจ็บเลยสักนิดแค่การละคร อยากจะยืนให้จับให้ลูบได้ทั้งวัน
พอได้ยินคนน้องงอแงก็คลายแรงฝ่ามือที่เผลอไปบีบน้องซะได้ พร้อมกับยิ้มปนหัวเราะเบาๆพาคนฟังใจอ่อนยวบ ไม่ว่าจะได้ยิน ได้เห็นสักกี่ครั้งก็ไม่ชินสักที มีแต่แย่ลงกว่าเดิม หัวใจดวงนี้ดูจะไม่เชื่อฟังกันเลยตั้งแต่ได้พบกับผู้ชายคนนี้ ก็เต้นแรง และแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ว่าอีกคนจะได้ยินกันหรือเปล่า เสียงของหัวใจน่ะ
"คุณชินครับ..." แต่แล้วช่วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอ แต่ก็ดีแล้วแหละไม่งั้นคงได้หามกันส่งโรงพยาบาลแน่ๆ นักธุรกิจหนุ่มที่เข้ามาเอ่ยทักพี่ชินเพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะขยับขยายธุรกิจให้ก้าวไกลขึ้น ผมเองก็ไม่อยากอยู่ฟังเรื่องน่าปวดหัวนั้น แม้ในอนาคตก็ต้องปวดหัวกับมันอยู่ดี แต่นั่นก็เป็นเรื่องของในอนาคต ตอนนี้ขอปัดทิ้งไปไกลๆก่อนแล้วกัน
โชคดีที่ห้องจัดเลี้ยงนี้มีมุมเงียบๆให้สำหรับคนที่ขี้เบื่อ หรืออยากสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าที่ตรงนี้ไม่มีคนยืนสูบบุหรี่ทำลายบรรยากาศจนมีแต่กลิ่นฟุ้งของสารนิโคตินลอยเคว้งอยู่ในอากาศ
กลุ่มควันสีหม่นลอยพลิ้วขึ้นสู่อากาศ ยิ่งลอยสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเลือนลางและจางหายเป็นเนื้อเดียวกับอากาศ ข้าวปั้นจึงคิดจะไปที่อื่นเสีย เพราะเขาเป็นคนที่เกลียดกลิ่นบุหรี่เป็นที่สุด ได้กลิ่นทีไรก็รู้สึกพะอืดพะอมจวนเจียนจะอาเจียนเสียให้ได้ พูดไม่ทันขาดคำก็ตีรื้นขึ้นมาจ่อตรงคอหอยเสียแล้ว
อึก!
มือเล็กๆยกขึ้นปิดปากฉับ ท่าทีพะอืดพะอมอยู่ในสายตาคมในจังหวะที่หันกลับมาเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ร่างเล็กๆกุมท้องปิดปากส่งเสียงแปลกๆออกมาเบาๆ เรียวคิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตามองสิ่งที่อยู่ในมือตน มือหนาที่มีร่องรอยของเส้นเลือดปูดนูนพร้อมก้านบุหรี่ในมือ ยื่นออกไปยังกระถางต้นไม้ที่วางประดับไว้ตามมุมระเบียง ก่อนจะออกแรงกดส่วนปลายที่ติดไฟลงกับดินในกระถางเพื่อดับมันเสีย ก่อนจะยกขึ้นมาแล้วโยนบุหรี่ที่ดับสนิทแล้วลงถังขยะ
"ดับให้แล้ว" เสียงทุ้มต่ำติดเย็นชาเอ่ยขึ้นบอกอีกคน และก็เหมือนกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ เพราะตั้งแต่กระดูกสันหลังเย็นวาบไล่ริ้วขึ้นมายังก้านสมอง ดวงตากลมใสเบิกกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้น แอบคาดหวังว่าคงไม่ใช่คนที่คาดคิดไว้ อาจเป็นเพียงคนที่มีน้ำเสียงคล้ายคลึงกัน แต่ความจริงก็คือความจริง พอได้สบตาคมติดเย็นชาก็ต้องผงะถอย
!!!
"อ้ะ" จังหวะนรกมันเกิดขึ้นอีกแล้ว ในจังหวะที่เผลอชักเท้าถอยไปด้านหลังจนชนเข้ากับคนที่กำลังเดินผ่านมา จนเสียหลัก เอาอีกแล้ว ไอ้สถานการณ์แบบนี้ทำไมมันต้องมาเกิดขึ้นตอนที่อยู่ต่อหน้าเขาด้วยนะ
อับอาย อับอายเหลือเกิน
หมับ!
กลิ่นน้ำหอมแบรนด์ดังอย่างดิออร์ ซาเวจ ปะทะเข้าจมูกเพราะระยะห่างของทั้งคู่เหลือเพียงนิด ถ้ายกมือขึ้นกั้นไม่ทัน ผมคงได้ฝังจมูกไปกับแผงอกแน่นๆนั้นไปแล้ว มือเล็กๆพยายามดันเพื่อขืนตัวออกทั้งที่รอบเอวถูกโอบรัดด้วยแขนแกร่งเอาไว้
"ผมไม่เป็นไรแล้ว...ปล่อยด้วยครับ" พยายามกลั้นใจพูดให้จบๆในคราวเดียว เพียงแค่ประโยคสั้นๆก็เล่นเอาสูญเสียพลังงานไปมากโข แต่ก็ยังดีที่เขายอมคลายแรงโอบรัดให้กัน จนผมสามารถยืนทรงตัวได้ด้วยแรงขาของตัวเอง
"ขอบคุณครับ" และก็รีบโน้มตัวก้มขอบคุณอย่างไว ก่อนจะหันหลังก้าวสับฉับๆกลับเข้าไปในงานโดยไม่รอฟังว่าใครอีกคนจะพูดอะไรหรือไม่
สายตาคมของคนตัวสูงทอดมองตามแผ่นหลังเล็กๆที่เปิดอวดผิวนวลเนียนที่ห่างออกไปเรื่อยๆตามย่างก้าวที่ขาเล็กๆนั้นก้าวเดินออกไปทีละก้าว ทีละก้าว..
...***...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!