NovelToon NovelToon

คุณหมอกไม่ใช่แม่

บทนำ

"ภู เราท้อง…"

โลกของภูสั่นคลอนเมื่อเพื่อนของเขาเดินมาบอกเรื่องสำคัญ เมื่อในร่างกายของหล่อนกำลังมีชีวิตน้อยๆเติบโต

ในคืนนั้นเราทั้งคู่ต่างมึนเมาด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และได้ทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว

"ล..แล้วจะทำยังไงต่อ" ภูถามเธอ หญิงสาวไม่ตอบ ได้แต่นิ่งเงียบ

"เราขอโทษ ถ้าไม่พร้อม เอ่อ.. เราจะพาเธอไปเอาเด็กออกนะ"

เขาคิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุด เราไม่ใช่คนรัก เราไม่ได้พร้อมที่จะดูแลชีวิตเล็กนี้

แต่ตอนนั้นภูไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายอ่อนแอทั้งกายใจ แม่เจ้าหล่อนจะรู้ว่าต่างเป็นความผิดของเราทั้งคู่ก็ตาม

สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจจะเก็บชีวิตน้อยๆ นี้เอาไว้และคิดจะสานสัมพันธ์กันต่อ

แต่ถ้าเริ่มต้นไม่ดี มันก็ไม่มีอะไรดีภูยืนมองหน้าทารกตัวน้อยที่หน้ากระจก

แม่ของเด็กคนนี้ได้หนีไปแล้ว

ภูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเขาไม่รู้จะโทษใครในวันนั้นเขาก็มีส่วนผิดกว่าครึ่ง เขาคิดอะไรไม่ออกซักอย่าง ทำได้แค่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ไออุ่น คือชื่อของเด็กคนนี้ ถึงแม้เขาและเธอจะไม่ได้ผูกพันกันนักแต่เขากลับรู้สึกรักเด็กคนนี้จากหัวใจ ทันทีที่ได้ลองอุ้ม ภูรู้สึกว่าเด็กคนนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ความอบอุ่น

ไออุ่นคือลูกชายของเขา

 3 ปีผ่านไป

ภูเพิ่งผ่านสัมภาษณ์งานเป็นเลขา เขารู้สึกหวั่นใจเมื่อเห็นตึกสูงอยู่ตรงหน้า นี่จะเป็นที่ที่เขาได้เข้ามาทำงานจริงๆเหรอ

ที่นี่คือหนึ่งในเครือบริษัทวาทินกรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ร่ำรวยในประเทศแม้จะมีอายุของธุรกิจไม่นาน

'เอาเว้ยไอภู ถ้าแกทำงานนี้ได้ดีน้องอุ่นจะได้โตอย่างมีคุณภาพ!'

เขาเปิดมือถือดูหน้าลูกแล้วยิ้มอยู่คนเดียว วันนี้เขาฝากลูกไว้กับคุณป้าเจ้าของห้องพักเหมือนทุกๆ ครั้งที่ต้องออกไปทำงาน

คุณป้าช่วยเขาเลี้ยงไออุ่นตั้งแต่แรกคลอด เธอเห็นว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวไร้ประสบการณ์เกินไป เกรงว่าเด็กคนนี้จะไม่ทันได้โตจึงเข้ามาช่วยดูแล

ก็กลายเป็นว่าไออุ่นเหมือนได้ฝากตัวเป็นหลานแท้ ๆ ไปเสียแล้วขนาดที่ว่าคุณป้าเอ่ยปากถ้าไออุ่นโต ห้องพักห้าตึกแห่งนี้จะกลายเป็นของไออุ่นทันที

    "สวัสดีค่ะ ไม่ทราบมาต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ"

พนักสาวแผนกต้อนรับเอ่ยทักทายเขาอย่างนอบน้อมจนภูรู้สึกว่าบริษัทนี้เทรนพนักงานดี จริง ๆ 

"ผมนัดหมายกับคุณอวัศย์ไว้น่ะครับ"

"เลขาคนใหม่ของท่านรองสินะคะ ขึ้นไปที่ชั้น 10 ได้เลยค่ะ ห้องทำงานของท่านอยู่สุดทางเดิน"

ภูเอ่ยขอบคุณ พร้อมตรงไปที่ลิฟต์ตามที่พนักงานต้อนรับบอก วันแรกเขาถูกนัดมาหลังช่วงเข้างาน จึงไม่เห็นความวุ่นวายของพนักงานเงินเดือนในเวลาเช้า

เขาเดินขึ้นลิฟต์และกดตามเลขชั้นตามที่ได้รับมา ระหว่างขึ้นลิฟต์ไปเขาก็นึกประหม่าในใจการเป็นเลขาไม่ได้ง่ายที่เขาได้งานนี้อาจเพราะบริษัทนี้มักจะชอบรับคนที่จบจากจากมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ใครว่าจบจากที่ไหนก็เหมือนกัน ภูบอกเลยว่าไม่จริง

ลิฟต์ส่งเสียงติ๊งก่อนประตูจะถูกเปิดอออก ภูจัดความเรียบร้อยของชุดตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อไม่ยับ เนคไทไม่เบี้ยว รองเท้าเงาวับเพราะเพิ่งขัดมาเองกับมือ

เพอร์เฟกต์!

เขาเดินไปตามทางเดินทอดยาวพร้อมมองไปรอบๆ ชั้นนี้ดูไม่ค่อยมีอะไร มีเพียงห้องประชุมสองถึงสามห้องที่ยังไม่ได้ใช้งาน ที่เด่นเลยคงเป็นกระจกบานใหญ่ตลอดทาง เขาคิดว่าตึกนี้สมกับเป็นบริษัทใหญ่ทั้งการตกแต่งและบรรยากาศดูดีทีเดียว

พอมาสุดทางอย่างที่บอก ก็พบประตูไม้อย่างดีขนาดใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าแพงมากอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว ภูกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกถึงความกดดันที่ผ่านออกมาจากประตูนั่น

สูดหายใจเข้า หายใจออกหวังว่าจะไม่เจอเจ้านายที่ใจร้ายก็พอ…

"ขออนุญาตครับคุณอวัศย์ ผมคือภู.."

“เข้ามาสิ”

ภูสะดุ้งเมื่อเสียงจากข้างในตอบรับเร็วทั้งที่เขายังพูดไม่จบ เขามองตรงไปข้างหน้าก็พบกับชายหนุ่มที่ดูอายุห่างจากเขาไม่มาก กำลังยืนสูบบุหรี่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ไม่ห่างจากประตูนัก

ชายคนนั้นเห็นภูเดินเข้ามาก็ขยี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้

"คุณภูธเรศสินะ"

"ช..ใช่ครับ ผมคือภูธเรศเข้ามาทำงานเป็นวันนี้วันแรกครับ"

เขามองเห็นใบหน้าของคนที่นั่งบนโต๊ะตำแหน่งรองประธานกรรมการแล้วก็นึกแปลกใจ ตอนแรกมองไม่ชัดก็นึกว่าดูโตกว่าเขาสักหน่อย แต่พอมองอีกทีคนคนนี้ไม่น่าจะเกิน25ด้วยซ้ำ

ตัวทั้งเล็กและบาง ผิวดูใสมากเหมือนคนไม่ขาดคอลลาเจนมาทั้งชีวิต พูดแล้วก็มองผิวตัวเอง

โอโห หยาบกร้านขนาดนี้เลย

"คุณกำลังคิดว่าผมเด็กเกินไปอยู่สินะ"คนบนโต๊ะพูดโดยไม่ได้แสดงสีหน้า "สบายใจได้ผมอายุมากกว่าคุณเกือบสิบปี"

"ไม่ใช่นะครับ! ผมแค่คิดว่าท่านดูดีมากๆ เท่านั้นเอง!"

มันเป็นคำชมที่ควรจะพูดกับเจ้านายที่เพิ่งรู้จักกันเหรอ ภูนึกอยากทุบตัวเองขึ้นมา วันแรกที่มาทำงานก็เผลอเสียมารยาทแล้ว

แต่อายุมากกว่าเกือบสิบปีเลยเหรอ คงไม่ได้ล้อเขาเล่นใช่ไหม

"งั้นไปชงกาแฟให้ผมทีสิ"

ภูโล่งใจที่เจ้านายใหม่ไม่ได้ดุอะไร จึงรีบตอบรับทันที "ได้ครับ รอสักครู่"

เขามองหาเครื่องชงกาแฟก็เห็นมันตั้งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของคนเป็นนายจึงรีบเดินไป

ภูชงกาแฟบ่อยตั้งแต่สมัยเรียน ก็อาจารย์ของเขาเวลาไปส่งงานชอบให้นักศึกษาชงกาแฟให้พร้อมอ้างว่าเป็นการฝึกเผื่อไปทำงาน แต่ทุกคนรู้คนแก่คนนี้แค่ขี้เกียจทำเอง

ซึ่งพอได้มาทำงานจริงดันได้ใช้เสียงั้น ภูชงกาแฟวันหนึ่งทีละหลายแก้วตั้งแต่ฝึกงานยันเป็นพนักงานประจำในบริษัทแรก

คนบนโต๊ะนั่งดูเลขาใหม่ของตัวเองชงกาแฟเงียบ ๆ เด็กคนนี้อายุยังน้อยถ้าเทียบกับประสบการณ์งาน ในบริษัทเก่าเขาสามารถเลื่อนตำแหน่งตัวเองจากพนักงานใหม่เป็นถึงหัวหน้าแผนกได้รวดเร็วจนน่าแปลกใจ

แต่พอดูบุคลิกแล้วก็ดูเหมือนเด็กอยู่ดี

"เชิญครับท่าน"

ภูนำกาแฟมาวางไว้ตรงหน้ามองสีกับกลิ่นของมันก็รู้ว่าใช้ได้ เหลือแค่รสชาติ

มือขาวยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ก็นึกชมรสชาติกาแฟที่เด็กคนนี้ชง ปกติแม่บ้านเป็นคนชงมันก็เหมือนรสชาติกาแฟทั่วไป ทำไมคนคนนี้ถึงทำออกมาได้ดีขนาดนี้กัน

คงเลือกคนไม่ผิดจริงๆ

ถูกปากไหมนะ... ภูลอบมองใบหน้านั่นหลังยกกาแฟขึ้นชิม พอเขาเห็นว่าท่านรองไม่ได้ติเตียนอะไรแถมยังทำหน้าผ่อนคลายแล้วก็ภูมิใจฝีมือชงกาแฟตัวเอง

"คราวหน้าขอแบบนี้อีกนะ"

ภูยิ่งดีใจออกหน้า "ยินดีเลยครับท่าน"

ส่วนคนเป็นนายมองแล้วก็นึกถึงหมาตัวใหญ่ที่พอได้คำชมหูหางก็กระดิก

งานวันแรกผ่านไปด้วยดี เขามีโต๊ะประจำตำแหน่งอยู่หน้าห้อง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะโล่งมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้ แต่มีกระจกยกสูงขึ้นมาเหมือนกับเคาท์เตอร์พนักงานต้อนรับ

แต่ในหัวภูคิดว่าเหมือนคอกเด็กของลูกเขา

ผ่านไปสักพักเจ้านายของเขาก็เดินออกมาหา "คุณมีใบขับขี่รถยนต์ใช่ไหม"

"มีครับท่าน" ถึงจะไม่ได้ขับรถประจำเพราะไม่อยากเสียค่าน้ำมันเลยห้อยรถเมล์มาทำงานก็ตาม

"ต่อไปนี้คุณใช้รถคันนี้รับส่งผมทุกวันแล้วกัน ส่วนรถก็จอดไว้บ้านคุณ"

กุญแจรถหรูถูกยื่นมาให้เขา ภูอ้าปากค้าง ตื่นเต้นที่จะได้ขับรถราคาแพงคันนี้แต่ก็กังวลว่าจะเอาไปทำพังไหม

งั้นใช้แค่เรื่องงานพอแล้วกัน…

เวลาเลิกงานมาถึงภูวิ่งไปเอารถมารอรับนายของเขาที่ชั้นล่างทันที เขามองดูว่าอีกคนจะออกมาเมื่อไร ใจก็กลัวว่าจะมองเจ้านายตัวเองไม่ออกเพราะคนเยอะ

แต่ที่ไหนได้เขามองเห็นคนตัวเล็กเดินออกมาชัดเจน ไม่รู้ว่าเพราะออร่าจับหรือพอเหล่าพนักงานเห็นว่าเป็นรองประธานกรรมการก็พากันหลบแล้วยกมือไหว้ทักทาย

เห็นแบบนั้นก็รีบลงมาเปิดประตูรถทันที

"กดที่GPSได้เลย ถูกเซ็ตไว้แล้ว"

"ทราบครับท่าน"

อยู่ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาพอได้ยินว่าเลขาคนใหม่เรียกเขาแค่สรรพนามสั้นๆ อาจเป็นเพราะเขาเองไม่ค่อยชอบถูกเรียกแบบนี้เท่าไร

ก็คงต้องบอกให้เรียกชื่อนั่นแหละ

"เรียกผมด้วยชื่อจะดีกว่านะ"

"ครับท่าน เอ่อ..ท่านวสันต์"

ขอร้องเลยนะ…ไม่เอาคำว่าท่านสิ

"คุณ.."

"ขอโทษครับ คุณวสันต์?"

ก็ยังไม่ลื่นหูอยู่ดี

"ผมชื่อหมอก"

"ด..ได้ครับ คุณหมอก"

แบบนี้ค่อยลื่นหูหน่อย

ภูขับรถมาตามทางที่แผนที่ชี้บอก ก่อนหน้านี้เขาโดนคุณหมอกบอกให้เรียกชื่อแทนคำว่าท่าน ถึงแม้มันจะค่อนข้างไม่ชินที่เรียกคนตำแหน่งสูงขนาดนี้ด้วยชื่อเล่น แต่เจ้านายบอกให้ทำก็ทำ ก็เขาเป็นเลขานี่

คุณหมอกนั่งอยู่ด้านหลัง ดวงตาเรียวมองออกไปทางกระจก ภูมองซึ่งผ่านกระจกหลังก็เห็นพอดี

ปกติก็ดูดีมากอยู่แล้ว แต่พอมีไฟสีอ่อนข้างทางมากระทบก็ยิ่งทำให้ผิวดูนวลใสไปอีกแถมปากนั่นพอหันข้างมันก็ดูอวบกว่าที่เห็นอีก เหมือนลูกเจี๊ยบเลย ภูไม่ปฏิเสธว่าคุณหมอกเป็นคนที่สวยมากจริงๆ

เดี๋ยว!คิดอะไร นั่นเจ้านาย!

สบัดหัวเพื่อจะทิ้งความคิดไม่ดีออกไป หมอกที่นั่งอยู่ข้างหลังก็สงสัย เลขาของเขาเป็นอะไรไป ข้บรถแล้วง่วงหรือไง?

ภูมาจอดรถที่คอนโดหรูแห่งหนึ่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงบ้านของระดับรองประธานของบริษัทใหญ่ต้องดูหรูหรา แต่เขาก็ไม่ชินอยู่ดี คอนโดนี่มันมีกี่สิบชั้นกัน

"ส่งแค่นี้แหละ คุณกลับไปเถอะ"หมอกพูดตอนลงจากรถ

"พรุ่งนี้เช้าผมจะมารับนะครับ สวัสดีครับท่าน เอ้ย คุณหมอก"

ร่างเล็กเดินเข้าไปแล้ว ภูเห็นแบบนั้นก็ขับรถกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของตัวเอง

รถหรูจอดเทียบที่อพาร์ตเมนต์ราคาไม่แพงมากก็สามารถสร้างความประหลาดใจให้คนแถวนั้นได้ พอภูลงมาจากรถในชุดสูทเต็มยศก็ยิ่งทำให้ผู้คนที่หันมองมาตกใจ

ตายล่ะนึกว่าพระเอกหนัง

แม้กระทั่งป้าเจ้าของหอที่อุ้มลูกชายของเขาเดินออกมาเพราะได้ยินเสียงฮือฮาข้างนอก

"เจ้าภูเหรอน่ะ? แล้วนั่นรถใคร"

"ป่าป๊า!"

ไออุ่นดิ้นในอ้อมแขนของคุณป้าเพื่อจะวิ่งมาหาเขา คุณป้าก็ยอมปล่อยลง พอขาถึงพื้นก็วิ่งมาทันทีจนภูต้องอ้าแขนรับเอาไว้

"อย่าวิ่งสิน้องอุ่น อ้อ รถคันนี้เจ้านายให้น่ะครับ"

"ตายแล้ว! เจ้านายให้เหรอ!?"

ป้าทำหน้าตกใจ ไม่รู้ว่าคิดไปถึงไหน หรือละครหลังข่าวอะไรแต่ภูก็รีบหยุดความคิดทันที

"ให้แค่ไว้รับส่งนายเฉยๆ ครับป้า!"

"เฮ้อ แบบนี้นี่เอง" ป้าถอนหายใจ "จริงสิ วันนี้เจ้าอุ่นเห็นเพื่อนห้องชั้น3 เขาไปโรงเรียนแล้วงอแงอยากไปด้วย ภูจะให้ลูกไปเรียนตอนกี่ขวบล่ะ"

"อุ่นดันเกิดกลางปีน่ะครับป้า อายุถึงเกณฑ์ไม่ทันที่โรงเรียนกำหนด เลยต้องรอปีหน้า"

"ป้าคงไม่เหงาได้แค่ปีเดียวสินะ" ว่าแล้วก็เดินมาลูบหัวไออุ่นที่ภูอุ้มไว้ เด็กน้อยหัวเราะคิดคักดูน่ารักน่าชังจนหญิงใกล้วัยสูงอายุอดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนเป็นแม่ถึงกล้าทิ้งไป

ภูขอบคุณป้าเจ้าของหอที่คอยดูแลลูกชายตัวเองก่อนพาไออุ่นขึ้นไปบนหัอง เขาพาลูกชายอาบน้ำ ทานข้าวก่อนจะนั่งดูการ์ตูนจนไออุ่นหลับไป

เขาพาเด็กน้อยเข้านอนบนเตียงดีๆ แล้วแอบมานั่งเขียนบันทึกประจำวันของไออุ่น ภูเปิดดูตั้งแต่เล่มแรก ตลอดสามปีที่เขามีไออุ่นมา เฝ้ามองและบันทึกการเจริญเติบโตของลูก

วันนี้เขาได้งานที่ดีทำแล้ว ไออุ่นก็คงมีอนาคตที่ดีและสดใสขึ้นแน่นอน

แต่ชั่วขณะที่พูดถึงงานใหม่ก็เผลอมีหน้าของคุณหมอกลอยขึ้นมาในหัวเสียอย่างนั้น

'คิดอะไรไอภู นั่นเจ้านาย!!'

...#คุณหมอกไม่ใช่แม่...

บทที่ 1

ภูกำลังร้อนรนตั้งแต่เช้าด้วยเหตุผลที่เขาตั้งใจขับรถออกมาเร็วเพื่อจะเผื่อเวลาตอนไปรับคุณหมอกแต่กลับมาเจออุบัติเหตุทำให้รถติดยาวเป็นหางว่าว

สุดท้ายกว่าจะมาถึงก็ช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง เขาเกรงว่าคุณหมอกคงจะโกรธแต่กลับมีสีหน้าเรียบเฉยจนภูกดดันกว่าเดิม

"ขอโทษครับคุณหมอก ผมไม่คิดว่าจะมีอุบัติเหตุบนถนน"

"ผมเห็นข่าวแล้วล่ะ ไม่เป็นไร"

ภูคาดว่าคุณหมอกคงนั่งเช็คข่าวเช้ารอเขา แต่ขนาดบอกไม่เป็นไรหน้ายังไม่เปลี่ยนเลย

ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท ถึงแม้ภูจะไปรับคุณหมอกช้าแต่ก็เข้างานตรงเวลา

เช้านี้เขาทำเหมือนเดิม ชงกาแฟให้กับคุณหมอกและคอยรับเอกสารจากแผนกต่างๆ มาเพื่อให้คุณหมอกเซ็น

"ขออนุญาตครับ"

ภูยกเอกสารมาวางไว้ที่โต๊ะ คุณหมอกเปิดดูไปก็มีสีหน้าปกติบ้าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยบ้าง อาจเพราะเอกสารนั้นทำมาไม่ดีนักซึ่งคุณหมอกก็ใช้เวลาค่อนข้างนานกับเอกสารหนึ่งเล่มกว่าจะเซ็นชื่อ

เขายืนรอเอกสารแต่ก็แอบสะดุดตาว่ากาแฟของคุณหมอกยังไม่หมดด้วยซ้ำ หรือครั้งนี้เขาชงไม่อร่อยกัน

"เฮ้อ"

"เป็นอย่างไรบ้างครับ"

ภูเห็นร่างเล็กเอนตัวไปกับเก้าอี้ด้วยอาการเหนื่อยล้าจึงเอ่ยถาม คุณหมอกก็ส่ายหน้าแต่ก็ยังเอามือทุบที่บ่าตัวเองเบาๆ

น่าจะไม่ว่างจนดื่มกาแฟถ้วยเดียวไม่หมดมากกว่า

"เดี๋ยวผมนวดให้ครับ"

"ขอบใจนะ"

เขาเดินไปด้านหลังของอีกฝ่าย ก่อนวางมือบนไหล่ทั้งสองข้าง ภูนึกแปลกใจ คุณหมอกตัวเล็กขนาดที่มือของเขาเกือบกำไหล่มิด

ภูออกแรงนวดไหล่ทั้งสองข้าง คุณหมอกที่ตอนแรกดูไม่สบายตัวก็ค่อยผ่อนคลายลง

"ดีขึ้นไหมครับ"

"ดีขึ้น..อ๊ะ!"

ชิบหาย…ภูอุทานในใจเพราะพอเขาได้ยินคำชมเลยเผลอออกแรงมากไปจนอีกคนส่งเสียงร้องออกมา

เสียงแปลกๆ ด้วย

ทั้งคู่หยุดการกระทำ ภูที่ยืนข้างหลังก็ทำอะไรไม่ถูก เขาเห็นว่าคุณหมอกแอบเอามือปิดปากตัวเอง ใบหูนั่นก็ขึ้นสีแดง

 ไม่ใช่แค่คนเล็กที่รู้สึกอาย เขาเองก็เขินเหมือนกันเพราะเสียงเมื่อกี้มันสะกิดใจเขาไม่ใช่เล่น

"ขอโทษครับ คุณหมอกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า"

"ม..ไม่ล่ะ คุณเอาเอกสารพวกนี้ไปส่งให้ทีนะ"

คุณหมอกพูดโดยไม่ได้หันมามองเขา ส่วนเขาก็ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายจนเกิดบรรยากาศที่แปลกระหว่างทั้งคู่

ภูกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเอง เขายังเอาเรื่องเมื่อกี้ออกจากหัวไม่ได้แอบคิดว่าตัวเองเป็นอะไรไปทำไมมีอาการแบบนี้

คุณหมอกเป็นผู้ชายแต่เครื่องหน้าดูทั้งน่ารักและสง่างาม ดวงตาเรียวบางทีก็ดูเชิดหยิ่ง แต่บางครั้งก็ดูน่ารักเหมือนเด็ก ที่สะดุดตาเขาสุดคงเป็นริมฝีปากอวบนั่น

ตอนแรกไม่คิดอะไรแต่พอเห็นบ่อยๆ เข้าก็เริ่มคิดว่าคุณหมอกทาลิปสติกหรือเปล่า ทำไมมันชมพูระเรื่อแบบนั้น

เขานั่งคิดเพ้อเจ้อได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดัง มันไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของบริษัทแต่เป็นของเขาเอง

'ป้าพริ้ม'

หน้าจอแสดงเบอร์โทรของคุณป้าเจ้าของอพาร์ตเมนต์ ภูแปลกใจคุณป้าไม่เคยโทรหาเขาตอนเช้าแบบนี้มาก่อนทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดี

"สวัสดีครับคุณป้า"

"เจ้าภู! อ..ไออุ่นมันได้แผล ป้าเลยพามาโรงพยาบาล ตอนนี้ม..หมอเขาเอาตัวไปห้องฉุกเฉินแล้ว!"

เสียงปลายสายของคุณป้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำเสียงทั้งร้อนรนและเหมือนจะร้องไห้ออกมา 

ภูเองก็ตกใจพอได้ยินว่าลูกของเขาได้รับอุบัติเหตุจึงรีบถามว่าลูกของเขาอยู่ที่โรงพยาบาลไหน

"โรงพยาบาลxxx ภูรีบมานะลูก ฮือ ต..ตอนป้าพามาอุ่นมันไม่ร้องไม่อะไรเลย ป้ากลัวมันจะเป็นอะไรไป"

เขากดวางสายแล้วคว้ากุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องของหมอก

"คุณหมอกครับ! ผมขอลางานครึ่งวันนะครับ"

หมอกเห็นว่าเลขาของเขาน้ำเสียงดูกังวลอย่างมากและใบหน้านั่นก็มีเหงื่อซึมออกมา

"เกิดอะไรขึ้น?"

"ลูกชายของผมประสบอุบัติเหตุครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ผมอยากขอลาไปดูลูก"

หมอกเห็นว่าภูพยายามคุมน้ำเสียงอย่างหนักเพื่อที่จะคุยกับเขา ถึงจะกะทันหันแต่เรื่องอุบัติเหตุเกิดกับคนในครอบครัวมันเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่ใจจืดใจดำขนาดจะไม่ให้ลางานหรอกนะ

แถมวันนี้ก็ไม่มีงานอะไรที่ต้องรีบทำแล้วด้วย

"รีบไปเถอะ เอารถไปก็ได้"

"ขอบคุณครับ!"

ภูก้มหัวแล้วรีบออกไป ตอนนี้หมอกเองก็มีที่ที่จะต้องไปเช่นกันกะจะบอกภูว่าไม่ต้องไปส่งเขาที่บ้านแต่เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้ เขาเหลือบมองมือถือตัวเองที่มีแจ้งเตือนข้อความขึ้น

'กลับมาที่บ้าน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย'

หมอกหยิบเสื้อนอกของตัวเองมาใส่ก่อนเดินไปข้างนอก เขาเห็นรูปที่ตั้งไว้บนโต๊ะของเลขาเลยแอบดูสักหน่อย

รูปนั้นเป็นรูปที่ภูถ่ายกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นลูกชาย เล่นหน้าตาเหมือนกันเสียขนาดนั้น

ส่วนข้างล่างเขียนว่า '3 years' น่าจะเป็นอายุของเด็กคนนี้ หมอกลองเอาอายุของภูที่เขียนในใบสมัครมาคำนวณดูก็คิดว่าภูมีลูกเร็วกว่าที่คิด

"มีตอนอายุ23เองเหรอ"

เขาเห็นภาพที่น่ารักแบบนี้ ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เผลอยิ้มออกมา

หมอกเองก็อยากมีลูกบ้าง แต่เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงและไม่ได้มีเวลามากพอที่จะดูแลใคร ความฝันนี้จึงถูกเก็บไป

ฝ่ายของภูรีบมาที่โรงพยาบาลตามที่คุณป้าแจ้งเอาไว้ การปรากฏตัวของชายชุดสูทขับรถหรูก็เป็นที่จับตาแด่ผู้ในโรงพยาบาล ยิ่งใบหน้าหล่อคมคายก็ดึงดูดสายตาเข้าไปใหญ่

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ภูจะสนใจ เขากำลังเครียดเพราะห่วงลูกชายของตัวเอง จึงรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ของโรงพยาบาลเพื่อสอบถามจนได้ความว่าตอนนี้ลูกของเขาออกจากห้องฉุกเฉินแล้ว กำลังไปพักตัวที่ตึกผู้ป่วยเด็ก

ได้ยินแบบนั้นก็รีบวิ่งไปทันที

"เจ้าภู! ทางนี้"

เขาเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยรวม ก็ได้ยินเสียงคุณป้าเรียก ภูเห็นว่าใบหน้าของคุณป้ามีรอยของน้ำตา แสดงว่าเพิ่งร้องไห้มาหมาดๆ

ภูเห็นว่าข้างๆ คือเตียงของลูกชายเขาก็พุ่งตัวไปดู น้องอุ่นกำลังนอนหลับตาพริ้มบนเตียง ที่หน้าผาก แขน และขามีผ้าก๊อซปิดอยู่ 

ภูเห็นแบบนั้นก็สงสารลูก เขาอยากเจ็บแทนลูกจริงๆ

"ป้ากำลังทำกับข้าวอยู่ ฮึก..ไม่รู้ว่าเจ้าอุ่นมันเดินออกไปที่ถนนตอนไหน รู้ตัวอีกทีมีคนโวยวายเสียงดังว่าเด็กถูกรถชน ป้าหันไปเจอก็ไม่เจอเจ้าอุ่นเลยวิ่งออกไปดู"

"ถึงจริงๆ จะเป็นแค่รถเฉี่ยว แต่เจ้าอุ่นยังเด็ก ป้าขอโทษตริงๆ นะภู ฮือ"คุณป้าร้องไห้อีกครั้ง 

"ป้าไม่ผิดหรอกครับ ป้างานยุ่งตลอดแต่ยังอุตส่าห์ดูแลน้องอุ่นให้ผม ผมผิดเองที่ไม่มีเวลาดูแลลูก"

เขาพูดจากใจจริงๆ ป้าพริ้มเลี้ยงไออุ่นมาสามปี หล่อนรักลูกเขาเหมือนหลานแท้ๆ ของตัวเองไม่เคยทิ้งขว้างไออุ่นแม้แต่ครั้งเดียว

ความผิดของเขาทั้งนั้นที่ไม่มีเวลาดูแลไออุ่น ภูเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วลูบหัวลูก

"น้องอุ่น ป๊าขอโทษนะครับ"

"ป่าป๊า?"

อยู่ๆ เด็กน้อยที่นอนบนเตียงก็ลืมตาขึ้นมา ผิดคาดจากที่ภูคิด ไออุ่นที่ควรจะอยู่ในสภาพอิดโรยเพราะความเจ็บ แต่พอเห็นเขาก็กระโดดใส่ไม่สนใจความเจ็บสักนิด

นี่เด็กสามขวบจริงไหม

"น้องอุ่นเก่งนะคะคุณพ่อ ตอนแรกก็กังวลว่าสมองจะกระทบกระเทือนไหม แต่ก็ไม่เป็นอะไร พอทำแผลมีแค่ร้องไห้งอแงนิดเดียว แต่พอเอานมให้ดื่มแกก็นอนหลับปุ๋ยเลย"

พยาบาลที่ดูใจดีเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยชม ทำให้ทั้งภูและป้าพริ้มรู้สึกว่าเด็กที่ตนเลี้ยงมานั้นคงแข็งแรงมากจริงๆ

ส่วนภูก็ดีใจที่ลูกชายของเขาไม่เป็นอะไรมาก

"เก่งมากลูกป๊า"

"ผมไม่ได้ขับรถให้ท่านมานานแล้วนะครับ"

คำทักทายแรกเมื่อหมอกลงมาจากบริษัทเป็นของคนขับรถคนสนิทของบ้านเขา

ไอนี่มันชื่อกล้า คนงานในบ้านที่กวนประสาทเขาที่สุด

"ก็ดีสำหรับฉันนี่ มันแปลว่าฉันจะไม่ต้องกลับมาบ้านไง"

หมอกกำลังนั่งเบื่ออยู่บนถนน เขาอยากกลับไปที่บริษัททั้งที่เพิ่งออกมาได้ไม่นาน 

ในขณะนั้นกล้าก็ชวนเขาคุยไปเรื่อยทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากคุย แต่เพราะเป็นคนสนิท แถมเป็นคนสนิทของคุณแม่ ถ้าเกิดไปทะเลาะก็คงมีแต่เขาทีผิด ก็หมอนี่มันเหลี่ยมจะตาย

แม่ให้เงินเดือนมันเท่าไรกัน

"คุณหญิงสั่งให้ผมมารับท่านทีไรผมมาเก้อทุกที ครั้งนี้ท่านอุตส่าห์ยอมกลับมากับผมเสียที"

"นั่นเพราะพี่ชายและหลานของฉันจะลำบาก ฉันถึงยอมกลับมาด้วย"

คำตอบแบบนั้นทำเอากล้านึกขบขัน คุณชายผู้เย็นชาดุจน้ำแข็งก็มีมุมยอมจำนนเมื่อพูดถึงพี่ชายและหลานของตัวเอง

จากถนนที่มีตึกก็เริ่มกลายเป็นทุ่งนา และกลายเป็นที่ดินของเหล่าคนรวยที่ชอบพื้นที่ใกล้ธรรมชาติ บ้านใหญ่ของเขาก็อยู่เขตนี้เหมือนกัน

"ถึงแล้วครับ"

บ้านหลังใหญ่ของตระกูลวาทินอยู่ข้างหน้า ถึงแม้บ้านจะดูตกแต่งสวยงามและอบอุ่นเพราะมีทั้งคู่แต่งงานที่มีลูกสาววัยกำลังน่ารักและหญิงวัยกลางคนผู้เป็นทั้งแม่และย่าอยู่ร่วมกัน

แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่

และนั่นคือสาเหตุที่เขาไม่กลับบ้านโดยไม่จำเป็น เพราะมันคือบ้านแต่ไม่ใช่บ้านแบบที่ควรจะเป็นไงล่ะ

หมอกเดินเข้าไปที่ห้องทำงานชั้นสองของบ้าน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็มีเสียงทักสวนขึ้นมา

"มาแล้วเหรอ?"

"ครับ คุณแม่"

...#คุณหมอกไม่ใช่แม่...

บทที่ 2

เกตน์สิรี วาทินหรือเรียกติดปากกันด้วยนามสกุลของเธอเองว่าคุณหญิงวาทิน ผู้ก่อตั้งเครือธุรกิจวาทินที่โด่งดังด้วยสองมือของตัวเอง

และตอนนี้หมอกก็นั่งอยู่ต่อหน้าเธอ การเผชิญหน้าของสองแม่ลูกในครั้งนี้ค่อนข้างมาคุ คุณหญิงวาทินเป็นหญิงวัยกลางคนที่อีกไม่นานอายุของเจ้าหล่อนจะเข้าใกล้วัยเกษียณแต่ยังคงสวยสะพรั่งอยู่ดี

"ลูกสาวของพิกุลชัยยังรอคำตอบจากแกอยู่นะอวัศย์"

"เคยพูดแล้วนี่ว่าจะไม่แต่งงาน"

เขาตอบสั้นๆ ทำให้หล่อนไม่พอใจมากจนต้องสลัดคราบผู้ดีแล้วลุกขึ้นชี้หน้าลูกชายคนเล็ก

"นามสกุลที่ฉันสร้างขึ้นมาล่ะ! เพราะนามสกุลนี้ไม่ใช่เหรอแกถึงมีกินมีใช้ทุกวันนี้!! เราต้องมีคนสืบสกุลนี้นะอวัศย์!!"

เอาอีกแล้ว...หมอกใช้มือนวดบริเวณหว่างคิ้ว แม่ของเขาเป็นแบบนี้ประจำ เพราะนามสกุลที่เธอสร้างขึ้นมาเองมันมีความหมายกับเธอมาก

มากเสียจนเธอไม่สนใจใคร

"พี่ก็แต่งงานแล้วไง ลิเดียหลานของแม่และผมก็อายุ10ขวบแล้ว น้องเดียก็น่าจะโตทันสืบทอดกิจการนี่"

พูดไปแบบนั้นแหละ เขาไม่อยากให้หลานตัวเองต้องเดินตามทางที่ใครขีดไว้หรอก โดยเฉพาะแม่ของเขาเอง

เจ้าหล่อนพอได้ยินว่าลูกชายพูดถึงหลานก็ทำท่าไม่พอใจชัดเจน

"ยัยลิเดีย พ่อมันก็พูดว่าไม่อยากให้มันทำตามคำใคร ฉันจะไว้ใจได้ไงว่าถ้ามันมีผัวมันจะไม่ใช้นามสกุลผัว!"

"แม่หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!!" หมอกโมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่คิดว่าแม่ของเขาจะเป็นได้ขนาดนี้ ลิเดียคือหลานที่เขารักและหวงแหนจะให้ใครมาว่าร้ายเธอส่งๆ ได้ยังไง

ยิ่งหล่อนมีศักดิ์เป็นย่าแท้ๆ ของลิเดีย การที่เธอจะพูดถึงหลายด้วยถ้อยคำแบบนี้จะให้หมอกนั่งฟังเฉยๆ เขาทำไม่ได้

"เพราะแม่เป็นแบบนี้ไง! น้องเดียเป็นหลานของแม่ แม่ก็เป็นคนเลี้ยงดูเธอมาในช่วงที่พี่ไปทำงานต่างประเทศแท้ๆ ทำไมแม่ถึงมองเธอเป็นแค่เครื่องมือสืบสกุลล่ะ!!" 

"อวัศย์แกอย่ามาเถียงฉันนะ!"

"ผมไม่เถียงแน่ เพราะผมจะไม่คุยกับแม่เรื่องนี้อีก!!"

"อวัศย์!!"

"ฝากบอกบ้านพิกุลชัยด้วยแล้วกันว่าผมจะไม่แต่งงาน!!"

ปัง!!

เสียงประตูถูกปิดลงอย่างแรง หมอกเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ผู้เป็นแม่ยืนกำมือแน่นด้วยความโมโหและไม่เข้าใจในตัวลูกชาย ลูกชายคนเล็กเคยเชื่อฟังเธอมาตลอดทำไมตอนนี้ถึงกล้ายืนเถียงกับเธอแบบนี้

"ออกรถได้แล้ว" หมอกเดินมาขึ้นรถโดยไม่รอให้คนขับรถหนุ่มเปิดประตูให้ จนทำให้คนที่นั่งหน้าพวงมาลัยตกใจเมื่อผู้เป็นนายมาทิ้งตัวลงที่เบาะหลังแบบไม่บอกกล่าว

กล้าแอบคิดเดินมาได้ไง รถจอดไกลจากประตูบ้านตั้งขนาดนั้น

"คุยกับคุณหญิงแล้วหรือครับ"

"ไม่ใช่ธุระของนายสักหน่อย"

นั่นไง..ทะเลาะกันมาอีกแล้วแน่ เขาทำงานที่นี่มาเกือบสิบปี เห็นคุณชายเล็กมานั่งหน้าหงิกแบบนี้ทีไร เหตุผลก็ไม่มีอะไรนอกจากทะเลาะกัน

"ออกรถสิ นายรออะไรเนี่ย!"

"ฮ่าๆ ได้ครับอย่าดุผมสิ"

หมอกถึงกับกรอกตา หมอนี่ต่อให้เขาจะไม่พอใจแค่ไหนก็กวนประสาทไม่เลิกสินะ

พอมาถึงหน้าบริษัทหมอกก็สั่งให้กล้าจอดรถทันที นึกสงสัยอยากเดินขึ้นมาหรือไง ทำไมไม่ไปจอดในที่จอดรถดีๆ

"ให้ส่งแค่นี้เหรอครับ"

"ฉันเดินไปเองได้ นายรีบกลับไปซะ"

"คร้าบบบ"

ขอให้ได้แค่กวนประสาทจริงๆสินะ หมอกเดินไปโดยไม่หันมามอง กล้าที่รอดูคุณชายของเขาเดินเข้าประตูบริษัทเรียบร้อยแล้วจึงค่อยออกรถ

หมอกกำลังขึ้นลิฟต์มายังชั้นทำงานของตัวเอง เขาคิดว่าวันนี้ภูไม่ได้กลับมาแล้ว ตัวเขาเองก็ควรจะโทรไปบอกเรื่องที่ไม่ต้องมารับในเย็นนี้ เพราะจะให้คนขับรถอีกคนมารับแทน

แต่พอถึงชั้นทำงานของตัวเองเขาก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนคุยกันอยู่ใกล้ๆ ห้องทำงาน เหมือนกับเป็นเสียงของกลุ่มหญิงสาว

'ใครมันมาคุยอะไรแถวนี้?'

"น่ารักจังเลย\~"

"อายุเท่าไรแล้วคะเนี่ย"

"หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะคะ"

พอเดินมาถึงก็เห็นว่าโต๊ะของเลขาตัวเองกำลังถูกเหล่าพนักงานหญิงล้อมรอบ ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้พวกหล่อนคงสัมผัสได้ถึงกดดันเลยรีบหันกลับมามอง

"ท่านรอง! เอ่อ สวัสดีค่ะ"

เพราะไม่มีใครได้ตั้งตัวว่ารองประธานกรรมการจะโผล่มาตอนนี้เลยวางตัวไม่ถูก ทำท่าเลิ่กลั่กเหมือนกับโดนจับได้ว่าอู้งานมาแอบส่องเลขาหนุ่ม จึงพากันขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

หมอกไม่ได้สนใจพวกพนักงาน เขามองไปที่โต๊ะของเลขาก็พบว่าภูนั่งอยู่ที่โต๊ะ พร้อมยิ้มแห้งๆแบบรู้สึกผิดให้เขา 

แต่พอไล่สายตาไปที่หน้าตักของอีกฝ่ายก็พบว่ามีก้อนกลมๆนั่งอยู่พร้อมทำตาแป๋วมาทางเขา

"ทำไมยังมาทำงานอยู่ล่ะ ไหนว่าลา"

"คือผม..เอ่อ คือว่า" ภูทำตัวไม่ถูกเช่นกันเมื่อสายตานิ่งๆของคนเป็นนายมองมาทางเขา

เพราะปกติเจ้านายก็นิ่งเลยทำตัวไม่ถูกนี่แหละ

"คือพอดีผมเห็นว่า...ลูกชายผมไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาไม่ยอมนอนโรงพยาบาล เอ่อ จะไปส่งที่บ้านก็ไม่ยอมแถมคุณหมอกก็ยังไม่กลับบ้านผมเลยมารอรับคุณครับเลยต้องเอาลูกมาที่บริษัทด้วย ขอโทษนะครับ!"

ภูอธิบายรัวๆจนหมอกอยากจะปรามให้ค่อยๆ พูดก็ได้ 

"จะขอโทษทำไมกัน มาก็ดีแล้ว"

ถึงการพาลูกมาที่บริษัทก็ไม่สมควรนักเพราะอาจจะรบกวนพนักงานคนอื่น และไม่ดีต่อตัวเด็กเอง แต่กรณีของภูที่ทำงานบนชั้นที่มีแค่พวกเขาสองคนจะพาลูกมาก็ไม่รบกวนใคร

อีกอย่างพอหมอกเห็นตาใสแป๋วนั่นพร้อมกับผ้าก๊อซที่มีเกือบทั่วตัวจะให้ดุพนักงานตอนนี้ใครจะกล้าทำ 

"หม่าม้า?"

อยู่ๆ ไออุ่นที่นั่งบนตักภูก็พูดขึ้นมาทั้งที่ตายังจ้องอยู่ที่หมอก

ผู้ใหญ่ทั้งสองพอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเลิกคิ้ว โดยเฉพาะภูที่ทั้งเลิกคิ้วด้วย ตกใจจนตาตั้งด้วย

"หม่าม้าไงฮะ"

ไม่พูดเปล่า มือเล็กๆนั่นยังชี้ไปที่หมอกอีก ภูเห็นแบบนั้นก็ร้องในใจ คราวซวยมาเยือนของจริง

"ขอโทษครับ สงสัยไออุ่นยังมึนๆกับอุบัติเหตุ คุณหมอกอย่าถือสาเลยนะครับ! น้องอุ่นคุณหมอกไม่ใช่หม่าม้านะครับ"

ไออุ่นเหมือนจะไม่เข้าใจ ได้แต่ทำท่าเอียงคอยิ่งทำให้ภูรู้สึกซวยกว่าเดิม

"คุมย่าบอกน้องอุ่นว่าหม่าม้าต้องฉวยนี่ฮะ" แล้วก็ชี้ไปทางหมอก "นี่ก้อคนฉวยไงฮะ"

โอเคเลยน้องอุ่น!

ภูไม่เข้าใจนิยามคำว่าสวยในความคิดเด็กสามขวบ นะหว่างอยู่กับป้าพริ้มคงมีชวนกันดูหนังหรือละครตามประสาคนแก่ ป้าแกคงชี้ดาราคนนั้นคนนี้ให้ไออุ่นดูนั่นแหละ

ทีนี้น้องอุ่นของเขาก็จำมาไงล่ะ

"ไม่เอาน่าน้องอุ่น อย่าเรียกคนอื่นแบบนี้ไปทั่วสิครับ"

"ไม่เป็นไร อย่าดุเขา"

จะเอาอะไรมากก็นี่เด็กสามขวบ หมอกที่เห็นว่าภูมีท่าทีเด๋อด๋าก็นึกเหนื่อยใจแล้วเดินเข้าห้องไป แต่ในใจก็แอบรู้สึกฟูนิดหนึ่งเหมือนกัน 

สำหรับเขาโดนเรียกว่าแม่ก็ไม่แย่เท่าไร

ภูเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ดุอะไร แต่ก็เดินเข้าห้องไปเงียบๆ ดูไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจกันแน่

"น้องอุ่นอย่าเรียกคนอื่นว่าแม่ไปทั่วนะครับ คุณหมอกเขาอาจจะไม่ชอบให้ใครชมว่าสวยก็ได้นะครับ"

"ก้อฉวยจิงๆนี่ฮะ.."

น้องอุ่นทำหน้าหงอย แต่ดูแล้วก็น่าจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี 

ระหว่างที่น้องอุ่นนั่งเล่นของเล่นอยู่ที่พื้นบริเวณโต๊ะซึ่งเขาก็ปูผ้าจัดไว้ให้ลูกได้นั่งสบายๆ ตัวของเขาเองก็รีบจัดแจงเอกสารและตารางงานรวมถึงนัดหมายให้คุณหมอก

ยังมีเอกสารที่คุณหมอกต้องเซ็นต์อีก เขาหยิบมันแล้วลุกเพื่อจะเดินไปในห้องแต่ก็ไม่ลืมหันมาหาไออุ่น

"เดี๋ยวป๊ามา น้องอุ่นอย่าไปไหนนะครับ"

"ฮะ!"

น้องอุ่นถึงแม้จะดูเป็นเด็กว่าง่าย แต่ก็มีมุมรั้นเหมือนกัน ถ้าไม่กำชับดีๆ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบก่อนหน้านั้นอีก 

ภูเดินถือเอกสารไปให้คุณหมอก เขาเห็นเจ้านายตัวเองนั่งหน้าเครียดพลางพลิกเอกสารไปมาบนโต๊ะ 

จะว่าไปภูก็สังเกตว่าคุณหมอกดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่กลับมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ เขาคิดว่าก่อนจะเอาเอกสารไปวางควรแวะไปชงกาแฟให้ก่อน

"ดื่มหน่อยนะครับ"

ภูวางเอกสารพร้อมกับกาแฟลงตรงหน้าหมอก กาแฟกลิ่นหอมลองฟุ้งจนได้กลิ่นชัดเจน เขาเพิ่งสังเกตว่าเลขาของตัวเองเข้ามาในห้องเพราะเมื่อกี้มัวแต่เครียดเรื่องที่คุณกับแม่ ตามด้วยเรื่องงานของตัวเองที่ค่อนข้างวุ่นวาย

แต่ก็ไม่คิดว่าเลขาคนใหม่คนนี้จะไหวพริบดีขนาดที่รู้ว่าจะดูแลเจ้านายที่กำลังเครียดยังไง ผู้ชายคนนี้สมแล้วที่เลื่อนตำแหน่งงานได้ไว เพราะเขาหูตาไวนี่เอง

"จะชงกาแฟทุกครั้งที่ผมเครียดเลยหรือไง" 

ไม่รู้เป็นอะไร ถึงชมไปแล้วก็นึกอยากแซะขึ้นมาด้วย ภูได้ยินแบบนั้นก็งง เจ้านายแสดงหน้าตาดีใจผ่านหน้านิ่งๆนั้นออกมาแล้วแท้ๆ แต่ทำไมปากยังแข็งอยู่ดี

"ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ คุณดื่มทีไรก็สีหน้าดีทุกที"

"งั้นก็ทำแบบนี้ต่อไปนะ"

หมอกหยิบกาแฟขึ้นดื่ม ทั้งกลิ่นและรสชาติของมันทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นจริงๆ 

"ลูกของคุณล่ะ" หมอกถามเพราะเห็นว่าภูมายืนในห้องนานแล้ว

"ข้างนอกครับ เขามีของเล่นอยู่ไม่น่าจะเดินซน"

"ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น อุบัติเหตุแบบไหนลูกของคุณถึงบาดเจ็บขนาดนี้" 

หมอกถามด้วยความสงสัย ภูก็ไม่ปฏิเสธที่จะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นพอเขาเริ่มเล่าอีกฝ่ายก็ตั้งใจฟังเงียบๆ พอเล่าจบหมอกก็ถามต่อ

"ภรรยาของคุณเองก็คงทำงานหนักสินะ ต่างคนต่างไม่ค่อยมีเวลา ผมเข้าใจ พี่ชายผมก็--"

"เอ่อ ผมไม่มีภรรยาครับ"

ไม่มีภรรยา? หมอกนิ่งค้างครู่หนึ่งแล้วแอบมองไปที่มือข้างซ้ายของภู

จริงด้วยที่นิ้วไม่มีแหวนหรือแม้กระทั่งรอยแหวนด้วยซ้ำ เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวจริงๆสินะ เพราะในใบสมัครก็ไม่ได้ถามถึงสถานะภาพของผู้สมัคร เขาเลยต้องอาศัยการสังเกตเอาเอง

"อ่า..ผมขอโทษที่พูดถึงครอบครัวของคุณ"

"ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อยเอง"

"ส่วนลูกชายของคุณ ถ้าที่บ้านของคุณไม่สะดวกจะพาเขามาที่นี่ก็ได้ ทั้งชั้นมีแค่เราสองคนมีเด็กเพิ่มสักคนก็ไม่เป็นไร"

หมอกพูดจบก็เหมือนเห็นหูกับหางของภูกำลังส่ายด้วยความดีใจ เอาอีกแล้ว ทำตัวเป็นลูกหมาอีกแล้วตัวก็ออกจะใหญ่เท่ากำแพงแท้ๆ

"ขอบคุณครับคุณหมอก!!"

...#คุณหมอกไม่ใช่แม่...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!