NovelToon NovelToon

แผ่นดินนี้ข้าจอง (这是我的土地)

ตอนที่ 1 การเดินทาง

ภายใต้สายลมเมื่อยามสายัณห์พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที คณะเดินทางคณะใหญ่เเห่งทำเดินทางไปยังปลายสุดของเเคว้นถัง ว่ากันว่าเป็นที่ที่อันตรายเป็นอย่างมาก ตลอดหลายร้อยปีมานี้เเทบไม่มีใครเคยไปสำรวจมาก่อน ซึ่งหัวหน้าของคณะเดินทางกลุ่มใหญ่นี้ คือ จวิ้นอ๋องในชุดนักรบเเห่งเเคว้นถัง ถังเย่ฮว่า เขาพร้อมด้วยเหล่าทหารองค์รักษ์และข้าราชบริพารและครอบครัวของคนเหล่านั้นพร้อมด้วยเหล่าชาวบ้านนับหลายร้อยครัวเรือนจากนครหลวงฉางอัน(นามสมมติภายในเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับเมืองในโลกจริง) ที่สมัครใจหรือบ้างก็โดนบังคับออกมาจากนครหลวง เเม้ว่าเเทบทั้งหมดยังมีความรู้สึกว่าทำไมจะต้องเป็นพวกเขาที่ต้องออกจากฉางอันเเต่เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้วก็ต้องจำใจยอมรับอันเนื่องมาจากสถานะการของเเคว้นเองที่นับวันยิ่งเเย่ลง อันเนื่องด้วยว่าที่เมืองหลวงและเมืองรอบข้างต่างก็ขาดเเคลนอาหาร เเม้กระทั้งฮ๋องเต้ยังต้องเสวยอาหารที่เทียบเท่ากับอาหารชาวบ้านธรรมดาทั่วไป คณะเดินทางของจวิ้นอ๋อง เดินทางออกจากฉางอันก็นับเป็นได้เดือนกว่าๆเเล้ว ฉีอ๋องถังเย่ฮว่า ที่กำลังควบม้าเดินนำหน้าสุดของคณะเดินทาง จากควบม้าไปตามถนนธรรมชาติผ่านป่าเขาซึ่งไม่เคยสำรวจมาก่อนเมื่อเข้าไปยังป่าทึบเขาก็สั่งทหารให้เคลียร์เส้นทางตัดไม้ตัดหญ้าเมื่อทำเป็นถนนพอให้เกวียนของเหล่าชาวบ้านผ่านไปได้ บ้างก็ต้องข้ามเเม่น้ำที่ไม่มีสะพาน เขากับเหล่าทหารก็ต้องตัดไม้บริเวณใกล้เคียงเพื่อมาทำเป็นสะพานสำหรับข้ามเเม่น้ำไป เเทบไม่มีใครรู้ว่า จวิ้นอ๋องจะพาพวกเขาไปยังที่เเห่งใดเเต่ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในตัวของฉีอ๋อง

เเต่ทว่าตัวจวิ้นอ๋องเองนั้นต่างหากที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ตลอดทางเขากังวลอยู่ตลอดทางว่าทำยังไงถึงจะรักษาชีวิตเหล่าชาวบ้านให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยเเละเมื่อถึงที่หมายแล้วเขาจะทำอย่างไรถึงจะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างราบรื่น ด้วยความกังวลนี้เองทำให้ตลอดระยะทางเขาก็ควบไปอย่างเหม่อลอยไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ฉีอ๋องที่อายุเพียง 30 ปีเเต่ทว่ากลับมีใบหน้าห่อเหี่ยวไปยิ่งกว่าอายุของตัวเองเป็นอย่างมาก

พอตกค่ำคณะเดินทางต่างก็หยุดพักลงกลางป่า ทหารบางส่วนก็มุ่งหน้าไปทำถนนเคลี่ยร์เส้นทางสำหรับวันรุ่งขึ้นตามคำสั่งของจวิ้นอ๋อง และทหารบางส่วนก็คอยเปลี่ยนกะเฝ้าระวังตลอดคืน ส่วนชาวบ้านนับพันต่างก็นั่งพักพร้อมกับกองไฟตรงหน้าที่ห่างกันเป็นช่วงๆทุกคนต่างอยู่ในสายตาซึ่งกันและกันเป็นเเนวยาวไปจนสุดขบวนเพื่อไม่ให้หายไประหว่างทาง เเต่มีคนเดียวที่ไม่อยู่ในสายตาของใครๆ นั่นก็คือจวิ้นอ๋องที่ชอบปลีกตัวเองออกจากคนอื่นๆเพื่อไปเก็บตัวคิดอยู่คนเดียว จวิ้นอ๋องที่นั่งพิงใต้ต้นไม้ที่ไม่มีเเม้เเต่กองไฟอยู่ตรงหน้าในที่ลับตาคน เขาได้นึกถึงวันสุดท้ายที่เขาได้สนทนากับฮ่องเต้ ถังซีจิ้ง ก่อนจากลา ณ ห้องทรงงานส่วนพระองค์ ฉีอ๋องกับฮ่องเต้ที่กำลังสนทนาอยู่ตามลำพังได้เริ่มขึ้น

 

 

“นี่น้องเย่ฮว่าเจ้าคิดดีแล้วหรอว่าจะไปที่นั่น” ฮ่องเต้ทรงตรัสถามเย่ฮว่าด้วยน้ำเสียงที่เเลดูเป็นห่วง

 

 

“ข้าเเน่ใจแล้วครับเสด็จพี่” จวิ้นอ๋องตอบกลับ

 

 

“เเต่ว่าที่นั่นมันอันตรายนะเเม้ว่าไม่มีใครรู้ว่าที่นั้นเป็นรกร้างจริงรึเปล่า เเต่ว่าเจ้าก็ไม่ควรเอาตัวเองกับชาวบ้านไปเสี่ยงขนาดนั้นถ้าเปลี่ยนใจไปที่อื่นยังทันนะ”

 

 

“เรียนเสด็จพี่ถ้าหากน้องไปเมืองอื่นในเเผนที่แล้วละก็เกรงว่าคงหนีวิกฤตขาดเเคลนอาหารนี้ไปไม่พ้นเพราะที่อื่นต่างก็อยู่ใกล้เเหล่งชุมชนเดิมไม่มากนักต้องไปลำบากในการจัดการอาหารอีกเกรงว่าคงไม่เหมาะ” จวิ้นอ๋องตอบกลับ

 

 

"เเต่ยังไงซะที่นั่นก็อันตรายถ้าหากไม่ระวังเกรงว่าอาจถึงเเก่ชีวิตก็ได้นะ" ฮ่องเต้ยังคงยืนกรานด้วยเสียงเเข็งไม่ให้ฉีอ๋องไป

 

 

"ท่านพี่ท่านเคยบอกข้าเเข็งเเกร่งที่สุดอันดับหนึ่งของเเคว้นนี้แล้วใช่ไหม และท่านไม่เชื่อข้าหรอนี่เป็นโอกาสที่ข้าจะได้เเสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่แล้วขอท่านโปรดวางใจข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง"เเม้จะพูดเช่นนั้นเเต่ในใจฉีอ๋องมีเเต่ความกังวล

 

 

"เอาเถอะเจ้าชนะแล้วเดี๋ยวข้าจะให้มือดีที่สุด 10 คนไปกับเจ้าด้วยรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเมืองติดตามไปด้วยก็แล้วกัน" ฮ่องเต้พูดด้วยความใจอ่อน

 

 

“ขอบพระทัยเสด็จพี่”

 

 

“เเต่มีอีกเรื่องสองเรื่องที่เจ้าควรจำไว้” ฮ่องเต้กล่าว

 

 

“เมื่อไปถึงที่นั้นเมื่อเจ้าสร้างเมืองเสร็จเจ้าคือคนที่มีอำนาจมากสุดเป็นอิสระต่อราชสำนักมีสิทธิ์ตัดสินใจได้ทุกเรื่องเจ้าไม่ต้องเกี่ยวกับราชสำนักขอเพียงเเค่เจ้าใช้ชีวิตได้อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดตกอะไรก็เพียงพอแล้วและอีกอย่างเมื่อเจ้าสร้างเมืองสร้างให้ตั้งชื่อเมืองนั้นว่า ซิวซัน ตกลงไหม”

 

 

“ข้าตกลง” จวิ้นอ๋องรับปากพร้อมประสานมือเคารพ

 

 

“นี่เย่ฮว่าข้าคงเศร้ามากที่เจ้าจากไปไว้ถ้าได้เจอกันใหม่ก็ขอให้เมื่อนั้นสถานการณ์ของเเคว้นดีขึ้นแล้ว ข้ารู้ว่าเเคว้นเราจะไม่มีทางดีขึ้นหรอกเพราะมันเป็นความผิดพลาดของเหล่าบรรพบุรุษก่อนที่พวกเราเกิดหวังว่าสักวันหนึงมันจะได้รับการเเก้ไขในรุ่นเรานะเย่ฮว่า”

 

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เมื่อพูดจบทั้งสองก็เข้ากอดกันเป็นการจากลาพร้อมด้วยน้ำตาของทั้งสองฝ่าย

 

 

 

 

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน จวิ้นอ๋องที่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นก็ยิ้มเย้ยให้ตัวเองแล้วคิดในใจ

พี่ซีจิ้งข้าถึงเเม้ข้าจะเก่งในด้านการต่อสู้เเต่ข้าก็ไม่เหมาะนำพวกเขาหรอกอนาคตของเเคว้นก็ขึ้นอยู่ข้าที่จะต้องนำทางคนเหล่านี้ไปสร้างอนาคตที่เเท้จริงต่างหาก ว่าเเต่ทำไมพี่ซีจิ้งถึงให้ข้าตั้งชื่อเมืองว่าซิวซันกันนะ

 

 

 

 

ตอนที่ 2 เส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย

คณะเดินทางของจวิ้นอ๋องเดินออกจากนครหลวงฉางอันจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาร่วมๆ 2 เดือนแล้วเเต่ยังไม่มีท่าทีที่จะเข้าใกล้จุดหมายเเม้เเต่นิดเดียวทุกวันจวิ้นอ๋องก็จะถูกเหล่าชาวบ้านถามว่า อีกนานไหมกว่าจะถึง ฉีอ๋องก็ลำบากใจที่จะตอบคำถามเหล่านั้น อยู่มาวันหนึ่งฉีอ๋องก็สัมผัสได้ว่าเหล่าสัตว์เเถบบริเวณป่าเขานี้เริ่มจะมีรูปร่างเเปลกๆคล้ายเป็นสัตว์อสูร พอยิ่งเดินทางไปเรื่อยๆสัตว์อสูรเหล่านั้นเริ่มมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จากเเค่ฝ่าเท้าก็ใหญ่ถึงหัวเขา จวิ้นอ๋องสัมผัสได้ถึงอันตรายที่พวกเขาเริ่มเข้าใกล้เข้าไปทุกทีเลยสั่งให้หยุดพักพร้อมกับเรียกทหารเหล่าทหารมาประชุมเป็นการด่วนรวมถึงทหารที่ล่วงหน้าไปเคลียร์เส้นทางก็ถูกเรียกตัวกลับมาด้วย เหล่าชาวบ้านเมื่อได้ยินคำสั่งหยุดพักก่อนเวลาของจวิ้นอ๋องต่างก็พากันงงไปตามๆกัน เมื่อเหล่าทหารมายืนพร้อมกันตรงหน้าของจวิ้นอ๋อง เขาเลยได้เริ่มเปิดการสนทนาท่ามกลางป่าทึบ

 

 

“หน่วยเคลียร์เส้นทาง พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนพบเห็นสิ่งใดบ้าง” จวิ้นอ๋องถามเหล่าทหารหน่วยเคลียร์ที่มีหลายสิบคน โดยรวมแล้วทหารทุกหน่วยที่ติดตามจวิ้นอ๋องออกจากฉางอันมีจำนวนทั้งสิ้น 500 กว่านาย

 

 

“เรียนใต้เท้า พวกข้าน้อยในขณะที่กำลังเคลียร์เส้นทางก็พบเห็นเหล่าสิ่งมีชีวิตรูปร่างเเปลกประหลาดหรือที่ท่านเรียกว่าสัตว์อสูรนั่นเเหละขอรับ ขนาดตัวไม่ใหญ่มากใหญ่สุดเเค่หัวเข่า” ทหารนายหนึ่งจากหน่วยเคลี่ยร์เส้นทางก้าวออกมาข้างหน้ารายงานพร้อมประสานมือทำความเคารพ

 

 

“งั้นก็เเสดงว่าใกล้เเล้วสินะ” จวิ้นอ๋องพึมพำกับตัวเอง

 

 

“ใต้เท้าเมื่อว่าไงนะ” ทหารนายหนึ่งพูดขึ้น

 

 

“พวกเจ้า” จวิ้นอ๋องเตรียมสั่งการ

 

 

“ไปบอกกับเหล่าชาวบ้านหลังจากนี้ สำภาระใดที่ที่จำเป็นให้ทิ้งไว้ที่นี่เสียทำเกวียนให้ว่างเปล่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใครที่เเข็งเเรงให้วิ่งอยากรวดเร็วใครที่ไม่เเข็งเเรงก็ให้ขึ้นเกวียนเสีย เราจะออกป่านี้อยากรวดเร็ว จากนี้ไปหน้าจะเป็นคนนำหน้าเคลียร์เส้นทางเองอย่างรวดเร็ว ขอผู้ที่มีฝีมือด้านพลังเวทย์คอยสนับสนุนข้า 4 คนด้านหน้าส่วนคนที่เหลือคอยประกบทั้ง 2 ด้านของคณะเดินทางเป็นเเนวไปเรื่อยๆจนสุดขบวน เเละที่สำคัญอย่ามัวห่วงชีวิตคนอื่น ห่วงชีวิตตนเองก่อน เราใกล้ที่หมายเเล้วทุกท่าน”

พอออกคำสั่งจบจวิ้นอ๋องก็สวมหมวกเกราะพร้อมด้วยทหารที่เก่งที่สุดอีก 4 คน   เตรียมเดินนำหน้า พอจวิ้นอ๋องออกคำสั่งจบ เหล่าทหารก็รีบกระจายคำสั่งของจวิ้นอ๋องไปตามขณะเดินทาง แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการทิ้งสำภาระกันครั้งใหญ่ ข้าวของเครื่องต่างก็โยนทิ้งตรงกลางป่าไปถึง เจ็ดส่วนเเต่ที่ไม่ทิ้งเเน่ๆคือเหล่าเมล็ดพืชอุปกรณ์ทำการเกษตรสำหรับเพาะปลูก พอทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นออกหมดชาวบ้านก็พร้อมที่จะวิ่งออกจากป่าไปพร้อมกับจวิ้นอ๋อง จวิ้นอ๋องพอเห็นชาวบ้านพร้อมแล้วก็ได้ ตะโกนออกคำสั้ง

“ไป!” น้ำเสียงอันทรงพลังของจวิ้นอ๋อง ช่วยกระตุกเเรงฮึดให้กับเหล่าทหารแล้วเป็นอย่างมากผู้หญิงที่อ่อนเเอกับเด็กต่างก็นั่งอยู่บนเกวียนก็สัมผัสได้ถึงเเรงกระตุ้นนี้ได้เช่นเดียวกัน

จวิ้นอ๋องพร้อมด้วยเหล่าองครักษ์ทั้ง 4 วิ่งนำหน้าเหล่าชาวบ้าน ไปเคลียร์เส้นทาง และเป็นไปตามที่จวิ้นอ๋องคาดการณ์ทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตราย จวิ้นอ๋องต้องปะทะกับเหล่าสัตว์อสูร ไม่ว่าจะเป็นวานรขนาดยักษ์ งูเหลือมขนาด 2 เท่าของคน เเมลงขนาดยักษ์ รวมถึงเสือโลกันตร์ เเต่ที่ว่ามานี้มีระดับไม่สุงมากนักเมื่อเทียบกับพลังของจวิ้นอ๋อง ที่อยู่มีลมปราณอยู่ขั้นที่ 5 และมีพลังเวทสายธาตุไฟ อยู่ในขั้น 3 เเต่สำหรับคนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังแล้วทั้งหมดที่กล่าวล้วนเป็นปัญหาที่ใหญ่ จวิ้นอ๋องที่ไม่ได้ทุ่มเทในการวิ่งมากนักเพื่อไม่ให้ห่างจากคณะที่เหลือจนเกินไปเพราะถ้าหากทุ่มเทกับความเร้วในการวิ่งออกจากป่าขนาดนั้นเกรงว่าคงทิ้งห่างคนอื่นๆไปไกลแล้ว

เกือบ 2 ชั่วยาม ผ่านไปในที่สุดจวิ้นอ๋องก็ทะลุออกจากป่าได้สำเร็จ องครักษ์ที่มาด้วยกันกับเขาตอนนี้เหลือ 3 คน ส่วนอีกคนโดนสัตวือสูรจุ่โจมจนหายไปในป่าระหว่างทาง จวิ้นอ๋องมองไปยังเบื้องหน้าถึงกับตะลึงเพราะที่นี่คือจุดหมายเเห่งการเดินทางตลอด 2 เดือน มันเป็นที่ราบที่ไม่มีหญ้า ที่ถูกล้อมด้วยป่าทึบตลอด 3 ทิศทาง       ยกเว้นทางตะวันออกที่ติดกับทะเล มันเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่เกือบเทียบเท่าเมืองฉางอัน และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ไม่มีเเม้กระทั้งสัตว์หรือสัตว์อสูรเลยเท่าที่สายตาของจวิ้นอ๋องสามารถมองเห็นได้ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่นี่เป็นป่าทึบก็จริงเเต่ถ้าหากไปตรงอีกไม่เท่าไรก็จะพบกับภูเขาขนาดใหญ่ เเละเเน่นอนจวิ้นอ๋องสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็สัมผัสได้ว่าภูเขามีอาณาเขตกว้างใหญ่มากอาจจะกินพื้นที่หลายเเคว้น

เเต่ยังไม่ทันได้ชื่มชมพื่นที่ได้อย่างเต็มที่จวิ้นอ๋องก็นึกขึ้นว่าขณะเดินทางของเขายังออกจากป่ามาได้ไม่หมดเขาเลยตัดสินวิ่งกลับไปยังท้ายขนวณเพื่อคุ้มกันเหล่าชาวบ้านที่เหลือโดยให้องครักา์ทั้งสามเฝ้าอยู่หน้าปากทางที่เคลียร์เสร็จพอให้เกวียนผ่านไปได้ที่ละคัน เมื่อจวิ้นอ๋องวิ่งตรงไปท้ายขนวณซึ่งอยู่ห่างไม่มากนะก็พบกับเหล่าทหารและชาวบ้านที่กำลังจะกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์อสูรเมื่อเห็นจวิ้นอ๋องเลยได้ใช้พลังทั้งหมดปล่อยเปลวไฟพุ่งออกจากมือขับไล่เหล่าสัตว์ไปได้มาบ้างเเต่ว่าก็มีบางคนที่    จวิ้นอ๋องช่วยไม่ได้ จวิ้นอ๋องได้เห็นภาพของเหล่าชาวบ้านที่ถูกลากหายเข้าไปในป่าแม้กระทั่งผู้หญิงและเด็กก้ไม่เว้น ภาพเหล่านี้จะสะเทือนใจจวิ้นอ๋องไปอีกนานพอคนสุดท้ายของขนวณออกจากป่าได้สำเร็จ จวิ้นอ๋องที่เดินออกมาจากป่าคนสุดท้ายด้วยสีหน้าที่หดหู่ เขามองไปยังป่าด้านหลังที่เขาพึ่งจากมาก็พบว่าเหล่าสัตว์อสูรนานาชนิดจำนวนมากต่างก็บอกทางเขาเเต่ไม่กล้าออกจากป่ามา พอออกจากป่ามาสิ่งที่ทำคือสำรวจมามีคนหายหรือตายไปกี่คน ปรากฏว่ามีทหารหายไป 125 คน จาก 500 คน คลาดว่าตาย ส่วนชาวบ้านหายไป 238 คน จาก 5000 กว่าคน และบรรยากาศของเเต่ละคนเมื่อได้ฟังรายงานต่างก็หดหู่ไปตามๆกัน

 

 

ตอนที่ 3 สถาปนาเมือง ซิวซัน

เเม้ว่าทุกคนที่กล่าวมาจะไม่พบศพเเต่ก็สันนิษฐานได้ว่าคนเหล่านั้นน่าจะตายไปแล้วทุกคนรวมไปถึงจวิ้นอ๋องก็เตรียมที่จะยื่นไว้อาลัยเเด่ผู้เสียชีวิต เเต่ในขณะนั้นเองก็มีหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าเหล่าองครักษ์เข้าไปกอดเข้าของจวิ้นอ๋อง พร้อมด้วยร้องไห้    คร่ำครวนทั้งน้ำตา จวิ้นอ๋องไม่เเปลกใจเลยเเม้เเต่น้อยถึงการกระทำของหญิงคนนี้ทั้งยังก้มลงพยุงร่างของนางขึ้นมาต่อผู้คนนับพัน

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ามาทำไม” นางยังไม่ทันได้เอ่ยปากจวิ้นอ๋องก็ชิงตัดหน้าพูดก่อน

 

 

“ครอบครัวเจ้าใครหายไปละ”

 

 

“เรียนใต้เท้าข้ามีเเค่ลูกชายข้าคนเดียวอายุเขาปีนี้พึ่ง 4 ขวบเท่านั้นเองสามีข้าเขาตายไปตั้งนานเเล้วข้ามีลูกเเค่คนเดียว ข้ามีเเค่คนเดียว” นางพูดพร้อมน้ำตายิ่ง 2 ประโยคสุดท้ายเเสดงถึงความทุกข์เป็นยิ่งหนัก ข้อเสียของจวิ้นอ๋องที่มีเพียงที่คนเท่านั้นที่รู้เเม้ภายนอกจวิ้นอ๋องจะเป็นคนห้าวหาญเเต่ภายในกลับใจอ่อน และเเถวขี้กังวลเป็นยิ่งนักโดยเฉพาะเมื่อเห็นคนมาร้องไห้ต่อหน้า เดิมทีจวิ้นอ๋องจะไม่สนใจเรื่องตามหาศพของผู้หายสาบสูญเพราะมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าคือวางเเผนสร้างเมืองและอีกอย่างนี่ก็ใกล้จะมืดแล้วถ้าหากค้นหาตอนกลางคืนยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่

 

 

“เเม่นางอันที่จริงเจ้าก็น่าจะรู้นะว่าข้าไม่มีเเผน ที่จะไปหาเหล่าผู้หายสาบสูญหรอกนะ มันอันตรายเกินไปและนี่ก็ใกล้จะมืดแล้วด้วยข้าเสี่ยงไม่ได้ขอโทษด้วยนะ" จวิ้นอ๋องพูดกับนางไปอย่างงั้น

 

 

เเต่ในใจของเขาอยากจะออกไปตามหาในทันทีเเต่เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้วเขาก็พบว่ามันไม่สมควรเลยสักนิดเพราะถ้าหากเขาไป หากว่ามีสัตว์อสูรเกิดโจมตีคณะเดินทางในขณะที่เขาไปอยู่จะยิ่งเเย่ไปกันใหญ่เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องการันตีได้เลยว่าสัตว์อสูรจะไม่โจมตีหรือถ้าหากจวิ้นอ๋องอยู่เฝ้าคณะแล้วสั่งการให้ทหารไปตามเผื่อว่าจะมีผู้รอดชีวิต ก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการส่งทหารไปเสี่ยงอันตรายโดยใช่เหตุ ทหารก็มีครอบครัวซึ่งจวิ้นอ๋องก็รู้เรื่องนี้ดี และในขณะที่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนั้นเองก็ได้มีทหารนายหนึ่งวิ่งออกจากป่าทางทิศตะวันตกมา ชายคนนั้นมีรูปร่างค่อนข้างอวบเเต่ยังไม่ถึงกับอ้วนมาก และที่ตามมาด้านหลังจากคนนั้นเองก็คือเหล่าชาวนาที่กำลังวิ่งหนีตายออกจากป่ามา 7-8 คน

 

 

"เร็วเข้า เร็วเข้า" ทหารคนนั้นโบกมือเรียกชาวบ้านให้ชาวบ้านให้รีบออกจากป่ามาโดยเร็ว

 

 

ชาวบ้านที่ออกมาเมื่อเห็นคณะเดินทางอยู่ตรงหน้าก็ได้เกิดมีความหวังเป็นอย่างมากพวกเขารีบมุ่งหน้าไปหาครอบครัวของตัวเองเมื่อเห็นโฉมหน้าของเหล่าผู้รอดชีวิตอีก 8 คน ครอบครัวที่อยู่ในกลุ่มคณะเดินทางก็รีบก้าวออกมาจากกลุ่ม มารอรับครอบครัวของตัวเองที่สามารถรอดออกมาจากป่าได้ เเละเมื่อทุกคนกำลังยินดีปรีดาอยู่นั้นทหารที่ช่วยเหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลือก็ได้ปลดผ้าห่อที่เขามัดไว้อยู่ข้างหลังออกปรากฏสิ่งที่เขาห่อไว้คือเด็กอายุราว 3-4 ปี เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็ตะลึงไปตามๆกันแลัวหันหน้าไปทางยิ่งที่เข้ามาของความช่วยเหลือจวิ้นอ๋อง เมื่อนางมองไปยังเด็กคนนั้นก็ร็องไห้ออกมาทันทีนางรีบวิ่งไปคว้าเด็กคนนั้นที่กำลังหลับอยู่ในผ้าห่อมาไว้ในอ้อมอก

 

 

"เขายังไม่ตาย" ทหารคนนั้นพุดกกับนาง

 

 

"ขอบคุณท่านมากนะที่ข่วยลูกชายข้าไว้" นางพูดพร้อมทั้งเสียน้ำตาด้วยความปรื้มปิติแล้วก็เดินกลับเข้าไปในกลุ่มคน

 

 

เมื่อเห็นนางกลับเข้าไปในกลุ่มเสร็จทหารคนนั้นก็ได้หันหน้ามาทางจวิ้นอ๋องพร้อมกับคุกเข่าพร้อมประสานมือทำความเคารพ

 

 

"ข้าน้อยมีนามว่า ตันก๋ง ข้าน้อยขออภัยจวิ้นอ๋องที่ได้ขัดคำสั่งเเตกเเถวออกไปจากขบวนขอท่านโปรดลงโทษด้วย" เขาพูดพร้อมกับพยักหน้าลงในกลับจวิ้นอ๋อง แต่ตัวจวิ้นอ๋องเองกลับประหลาดใจนิดๆถึงคำพูดของตันก๋ง เขาตอบกลับไปอย่างเเน่วเเน่ว่า

"เจ้ากลับมาก็ดีเเล้วครั้งนี้เจ้าทำความดีครั้งใหญ่หลวงข้าจะลงโทษเจ้าได้เช่นไร ลุกขึ้นเทอญ"

 

 

"ขอบพระทัย" พอกล่าวจบตันก๋งก็ลุกขึ้นในทันที

 

 

จวิ้นอ๋องกล่าวจบได้หันหน้าไปทางคณะเดินทางเดินทางเตรียมที่จะกล่าวปราศรัยกับเหล่าผู้คน

 

 

"ทุกคนฟังให้ดีนะ" จวิ้นอ๋องเริ่มตะโกนปราศรัย

 

 

"ที่นี่คือดินเเดนใหม่ที่ยังไม่มีต้องรกรากเเบบเป็นจริงเป็นจังมาก่อน ข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนักที่ไม่อาจพาทุกคนมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเเต่หลังจากนี้ไปข้าให้สัญญาจะดูเเลพวกเจ้าให้ดีที่สุด และเเน่นอนพวกเขาจะไม่ลืมเหล่าผู้เสียชีวิตในวันนี้" จวิ้นอ๋องพูดจบเขาก็ถอดหมวกนักรบออกแล้วยืนไว้อาลัยเเด่เหล่าผู้เสียชีวิตในวันที่เมื่อเห็นจวิ้นอ๋องทำเช่นนั้นเหล่าทหารต่างก็พากันถอดหมวกออกยืนไว้อาลัยเช่นเดียวกัน รวมไปถึงเหล่าชาวบ้านที่ต่างก็พากันก้มหน้าลงไว้อาลัยด้วยเช่นเดียวกัน พอผ่านไปได้สักพักจวิ้นอ๋องก็กลับไปใส่หมวกเหมือนเดิมเมื่อเห็นจวิ้นอ๋องทำอย่างงั้นต่างก็พากันทำตามๆกันพร้อมด้วยเหล่าชาวบ้านต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จวิ้นอ๋องที่เห็นผู้คนเงยหน้าขึ้นมาหมดแล้วก็เตรียมที่จะกล่าวปราศรัยอีกครั้ง

 

 

"ที่นี่พวกเราคือผู้บุกเบิก นับเเต่นี้ไปที่นี่คือเมืองใหม่ที่ฮ๋องเต้ได้พระราชทานชื่อมาเเล้ว นับจากนี้ไปที่นี่คือเมือง ซิวซัน หลายอาจจะสงสัยว่าข้ารู้ที่เเห่งนี้ได้เช่นไร ข้าเจอในเเผนที่โบราณของเเคว้นถังที่เเห่งนี้ตกสำรวจเพราะมันอันตรายเกินไป และเราก็ไม่ใช่คณะเดียวที่ไปสำรวจ อ๋องคนอื่นๆต่างก็ทำคนไปตั้งรกร้างตามที่ต่างๆเช่นเดียวกัน" พอพูดจบจวิ้นอ๋องก็หยิบม้วนกระดาษสีทองออกมา

 

 

"ทุกคนเตรียมรับราชโองการ" พอจวิ้นอ๋องพูดจบทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันคุกเข่าลงในทันที

 

 

"เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองนับวันยิ่งวิกฤตข้าจึงขอให้เหล่าอาสาสมัครทุกท่านออกจากเมืองฉางอันไปตั้งรกร้าง ณ ที่เเห่งใหม่โดยจะให้เอกสิทธิ์ในทางปกครองตนเองไม่ขึ้นกับราชสำนักหลวง และให้จวิ้นอ๋องที่ได้นำทางทุกท่านไปนั้น ไปผู้ปกครองสูงสุดในดินเเดนนั้นไปเเต่ทุกคนยังได้เอกสิทธ์ในการเป็นพลเมืองเเคว้นถังเช่นเดิม สามารถส่งบุตรญาติเข้าราชการได้ หรือส่งไปเรียนสำนักและสถานศึกษาต่างๆในเเคว้นถังได้เหมือนเดิม สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านจงโชคดีกับที่เเห่งใหม่ จบราชโองการ" พอจวิ้นอ๋องกล่าวจบทุกต่างก็ลุกขึ้นยืน

เเต่ยังไม่ทันได้ยืนจนควบทุกคนจวิ้นอ๋องก็เริ่มกล่าวอีกครั้ง

 

 

"เรายังไม่ทราบเเน่ชัดว่าทำพวกปีศาจถึงไม่กล้าเข้ามาที่นี่จะเราจะประมาทวันนี้ก็มืดแล้วเราจะผลัดเปลี่ยนเฝ้ายามทั่วทุกสารทิศ

 

 

พอถึงพรุ่งนี้ค่อยเริ่มการสร้างเมือง" พอกล่าวจบทุกคนต่างก็รู้หน้าที่ของตัวเอดีว่าควรทำอะไรในเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเมือง

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!