NovelToon NovelToon

ในวันที่ฝนพร่ำพรา #รักเธอคนเดียว

ความรู้พื้นฐานของเรื่อง+แนะนำตัวละคร

**ข้อมูล

ผู้ชาย**

วายุ 23 ปี

ภาคิน 23 ปี

มาวิน 19 ปี

คิง 19 ปี

คิว 19 ปี

วิน 19 ปี

นนท์ 19 ปี

ธันวา 19 ปี

ผู้หญิง

พลอย 17 ปี

เจน 17 ปี

แนน 17 ปี

ฟ้า 17 ปี

น้ำขิง 17 ปี

**คณะบริหารธุรกิจ

เรียนจบแล้วทำงานเป็น นักธุรกิจ นักเล่นหุ้น นายธนาคาร พนักงานบัญชี นักการตลาด เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่การเงิน ผู้จัดการ CEO เจ้าของกิจการ นักบริหาร อาจารย์และนักวิชาการด้านบริหารธุรกิจ ที่ปรึกษาด้านลอจิสติกส์ ผู้บริหารระบบสารสนเทศ

คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อสาร

ทำงานในวงการบันเทิง สถานีโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ กองบรรณาธิการหนังสือ นิตยสาร เว็บไซต์ นักประชาสัมพันธ์ ครีเอทีฟโฆษณา กราฟฟิคดีไซเนอร์ โมเดลลิ่ง ช่างภาพ ดีเจ วีเจ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย คอลัมนิสต์ เป็นต้น

คณะธุรกิจการบิน

นักบิน แอร์โฮสเตส พนักงานตามสายการบิน แอร์กราวด์ พนักงานหอบังคับการบิน เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ นักซ่อมบำรุง ธุรกิจอาหารของสายการบิน ธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ ธุรกิจการท่องเที่ยว

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม

พนักงานออกบัตรโดยสาร พนักงานบริษัทท่องเที่ยว ไกด์ รีเซปชั่น ล่าม ผู้ประกอบการทัวร์ พนักงานต้อนรับ ผู้จัดการห้องอาหาร

นักเขียนโปรแกรม

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศฯ

นักเขียนโปรแกรม ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ นักวิเคราะห์ระบบ ฝ่ายขายซอฟแวร์ นักพัฒนา นักวิเคราะห์ธุรกิจ อาชีพที่มีการผสมผสานวิทยาทางการคอมฯ

คณะวิศวกรรมศาสตร์

ทำงานเป็นวิศวกรในสาขาต่างๆ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ วิศวกรเคมี วิศวกรระบบ วิศวกรโยธา วิศวกรอากาศยาน เป็นต้น อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ นักวิจัย พนักงานบริษัทต่างๆ เช่น บริษัทคอมพิวเตอร์ บริษัทรถยนต์ บริษัทน้ำมัน เป็นต้น

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

เป็นสถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน นักออกแบบอิสระ นักออกแบบโฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์ หน่วยงานราชการ นักออกแบบและอนุรักษ์ภูมิสถาปัตยกรรม อาจารย์ วงการบันเทิง

คณะอักษรศาสตร์

นักเขียน นักเขียนบทละคร นักวิจารณ์ บรรณาธิการ นักแปล อาจารย์สอนภาษา นักวิชาการ นักประชาสัมพันธ์ เลขานุการ แอร์โฮสเตส ล่าม มัคคุเทศก์ ทำงานด้านโรงแรม พนักงานในบริษัทต่างประเทศ ข้าราชการ อาชีพอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความสามารถทางการติดต่อสื่อสาร

คณะดุริยางค์ฯ-นาฏศิลป์

ครูสอนดนตรี ครูสอนนาฏศิลป์ โปรดิวเซอร์ ซาวน์เอ็นจิเนีย นักแต่งเพลง นักดนตร ีรับราชการตามกรมศิลปากร ดุริยางค์ทหาร

คณะจิตวิทยา

นักจิตวิทยาคลินิก เจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรมนุษย์ นักวางแผนในองค์กร นักการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ นักพูด นักเขียน ครู อาจารย์ นักวิจัย นักวิเคราะห์

เกี่ยวกับแพทย์ สุขภาพ

ศิลปิน ดารา เรียนจบหมอ สวยหล่อแล้วยังเก่งระดับเทพ

ศิลปิน ดารา เรียนจบหมอ สวยหล่อแล้วยังเก่งระดับเทพ

คณะแพทยศาสตร์

ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคำว่า “หมอ” ทั้งหมอทั่วไป กุมารแพทย์ ศัลยแพทย์ อายุรแพทย์ จิตแพทย์ เป็นต้น

คณะทันตแพทยศาสตร์

หมอฟัน อาจารย์ในมหาวิทยาลัย นักวิชาการหรือนักวิจัย บริษัทที่เกี่ยวกับทันตสุขภาพเช่น ออรัลบี คอลเกต ลิสเตอรีน ฯลฯ

คณะเภสัชศาสตร์

เภสัชกรอุตสาหกรรม เภสัชกรการตลาด เภสัชกรตามร้านต่างๆทั้งร้านขายยาในชุมชน และในห้างสรรพสินค้า คลีนิคและโรงพยาบาล เซลล์ขายยา คิดค้นสูตรเครื่องสำอาง

คณะพยาบาล

พยาบาล บุรุษพยาบาล นักบำบัด

คณะสหเวชศาสตร์

นักบำบัด นักเทคนิคการแพทย์ นักรังสีเทคนิค นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด

คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา

เทรนเนอร์ โค้ช ครูสอนพละศึกษา นักกีฬา นักวิทยาศาสตร์การกีฬา นักเวชศาสตร์การกีฬา นักโภชนาการกีฬา นักจิตวิทยาการกีฬา ผู้จัดการทีมกีฬา นักข่าวกีฬา นักจัดอีเวนท์

คณะสัตวแพทยศาสตร์

หมอรักษาสัตว์ ทำงานในฟาร์มสัตว์ โรงงานอาหารสำหรับสัตว์ ห้องปฏิบัติการต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์

คณะศิลปกรรมศาสตร์

เว็บดีไซเนอร์ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักออกแบบต่างๆ ดารา นักร้อง ศิลปิน ผู้กำกับการแสดง ผู้กำกับละครเวที ครูศิลปะ

คณะครุศาสตร์

ครู นักวิชาการการศึกษา วิทยากร นักพูด

คณะรัฐศาสตร์

ส่วนใหญ่รับราชการ นักการฑูต เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานระหว่างประเทศ ล่าม นักการเมือง เจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล (HR) เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน เลขา

คณะวิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์ ครู อาจารย์ นักวิจัย อาชีพจะแตกแขนงออกไป ตามสาขาที่เรียน เช่น โปรแกรมเมอร์ ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ในบริษัทปิโตรเคมีต่างๆ

คณะมนุษยศาสตร์

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา อาจารย์สอนภาษา นักแปล ล่าม มัคคุเทศ แอร์โฮสเตส นักจิตวิทยา นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี บรรณารักษ์ นักปรัชญา เลขานุการ ช่างฝีมืองานคหกรรม นักพัฒนาชุมชน นักสารสนเทศและไอที ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา ทำงานด้านโรงแรม

คณะเศรษฐศาสตร์

โบรกเกอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน นักวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของลูกค้า ที่ปรึกษาทางการเงิน ทำงานเกี่ยวกับหุ้นและตลาดหุ้น นักลงทุน อาจารย์และนักวิชาการทาง ด้านเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ และนักเศรษฐศาสตร์ประจำหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนต่างๆ

คณะนิติศาสตร์

ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา นิติกร ฝ่ายกฎหมายภายในบริษัท ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัด

คณะบัญชี

นักบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชี นักวางแผนต้นทุน นักวิเคราะห์ต้นทุน นักวิเคราะห์และจัดวางระบบบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ นักเขียนโปรแกรมทางบัญชี

เป็นคำค้นหาที่มีการค้นเจอถึง 1 ล้านกว่ารายการ “มหาวิทยาลัยมีคณะอะไรบ้าง?” แถมด้วย “เรียนคณะนี้ สาขานี้ จบแล้วทำงานอะไร” ซึ่งสำหรับคำตอบนั้นต้องบอกว่า ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะเปิดสอนไม่เหมือนกัน รวมถึงมีใช้ชื่อคณะไม่เหมือนกันทั้งนี้ขึ้นกับความพร้อม และความต้องการของตลาดแรงงาน ในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย

มหาวิทยาลัยมีคณะอะไรบ้าง

แม้ว่าในแต่ละมหาวิทยาลัยจะเปิดสอนไม่เหมือนกัน มีชื่อคณะ สาขาที่แตกต่างกัน เราก็พอจะจำแนกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

สายไหน อยู่คณะอะไร ? ในมหาวิทยาลัย

สายวิทยาศาสตร์

คณะวิทยาศาสตร์

สายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี

คณะวิศวกรรมศาสตร์ , คณะเกษตรศาสตร์ คณะวนศาสตร์ , คณะสัตวแพทยศาสตร์ , คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา , คณะจิตวิทยา

สายวิทยาศาสตร์สุขภาพ

คณะแพทยศาสตร์ , คณะทันตแพทยศาสตร์ , คณะพยาบาลศาสตร์ , คณะเภสัชศาสตร์ , คณะสหเวชศาสตร์/เทคนิคการแพทย์/กายภาพบำบัด/รังสีเทคนิค

สายบริหาร

คณะบัญชี/บริหาร/การตลาด/การจัดการ , คณะเศรษฐศาสตร์

สายภาษาศาสตร์

คณะศิลปศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์

สายสังคม

คณะนิติศาสตร์ , คณะรัฐศาสตร์ , คณะโบราณคดี , คณะสังคมสงเคราะห์ , คณะสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสาศาสตร์

สายทางการศึกษา

คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์

สายศิลปะ

คณะสถาปัตยกรรม , คณะจิตรกรรม , คณะวิจิตรศิลป์ , คณะมัณฑณศิลป์ , คณะปะติมากรรม , คณะศิลปกรรมศาสตร์

ต่อไปนี้ จะเป็นเนื้อหา เกี่ยวกับ โรคต่างๆ จะมีตัวละครที่เป็นแบบนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**

โรคซึมเศร้า เป็นโรคหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของคนเรา เหมือนกับโรคทางกายอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลว หรือไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพียงการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นได้โดยมีสาเหตุ เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง ความผิดหวัง และเกิดได้เองโดยไม่มีสาเหตุใดๆ ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาหายได้ด้วยการใช้ยา การรักษาทางจิตใจ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน

“ซึมเศร้า” ทางการแพทย์ หรือ Clinical depression หมายถึง ภาวะซึมเศร้าที่มีมากกว่าอารมณ์เศร้า และเป็นพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่พบได้ในหลายๆ โรคทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคทางอารมณ์ คือ โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder หรือ Depressive Episode) และ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) โรคทางอายุรกรรมบางโรค สารยาบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้าที่รุนแรงได้

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

สาเหตุที่จะกระตุ้นการเกิดโรคซึมเศร้าที่พบบ่อยก็คือ การมีทั้งความเสี่ยงทางพันธุกรรม, ทางสภาพจิตใจ, ประจวบกับการเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย ร่วมกันทั้ง 3 ปัจจัย

โรคซึมเศร้าเกิดจากความเครียด แต่ทั้งนี้คนที่ไม่มีญาติเคยป่วยก็อาจเกิดเป็นโรคนี้ได้ มักพบว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีความผิดปกติของระดับสารเคมี ที่เซลล์สมองสร้างขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของอารมณ์

สภาพทางจิตใจที่เกิดจากการเลี้ยงดู ก็เป็นปัจจัยที่เสี่ยงอีกประการหนึ่งต่อการเกิดโรคซึมเศร้าเช่นกัน คนที่ขาดความภูมิใจในตนเองมองตนเองและโลกที่เขาอยู่ในแง่ลบตลอดเวลา หรือเครียดง่ายเมื่อเจอกับมรสุมชีวิต ล้วนทำให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น

การเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย เช่น หากชีวิตพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดไม่ราบรื่น หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ปรารถนา ก็อาจกระตุ้นให้โรคซึมเศร้ากำเริบได้

อาการของโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้ามีอาการรู้สึกเศร้าใจ หม่นหมอง หงุดหงิด หรือรู้สึกกังวลใจ ไม่สบายใจ

ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือสิ่งที่เคยให้ความสนุกสนานในอดีต

น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้น ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป

นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินกว่าปกติ

คนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะรู้สึกผิด สิ้นหวัง หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า

ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ความจำแย่ลง

อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง

กระวนกระวาย ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ

คิดถึงแต่ความตาย และอยากที่จะฆ่าตัวตาย

การรักษาโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการรักษาทางจิตใจ และการรักษาด้วยยาหลายชนิด โดยที่แต่ละคนอาจตอบสนอง ต่อการรักษาแต่ละชนิดไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการการรักษาหลายอย่างร่วมกัน การรับประทานยาจะทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว ในขณะที่การรักษาทางจิตใจจะช่วยให้คุณเหมือนมี “ภูมิคุ้มกัน” สามารถต่อสู้กับปัญหาที่จะย่างกรายเข้ามาได้ดีกว่าเดิม ส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องมานอนรักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างไร เมื่ออาการของโรครุนแรง จนอาจมีอันตรายจากการพยายามฆ่าตัวตาย หรือผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา อาจให้การรักษาด้วยไฟฟ้า แต่จะใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น

การรักษาทางจิตใจของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

มีวิธีรักษาทางจิตใจอยู่หลายรูปแบบ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นการ ”พูดคุย” กับจิตแพทย์ 10 ถึง 20 ครั้ง อันจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจกับสาเหตุของปัญหา และนำไปสู่การแก้ไขปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมองกับแพทย์ การรักษาทางพฤติกรรมจะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีที่จะได้รับความพอใจ หรือความสุขจากการกระทำของเขา และพบวิธีที่จะหยุดพฤติกรรมที่ อาจนำไปสู่ความซึมเศร้าด้วย

การรักษาอีก 2 รูปแบบต่อไปที่มีการศึกษาแล้วว่า สามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้ดี คือ การรักษาแบบปรับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการรักษาแบบปรับความคิดและพฤติกรรม โดยการรักษารูปแบบแรกมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาระหว่าง ผู้ป่วยกับคนรอบข้างที่อาจ เป็นสาเหตุและกระตุ้นให้เกิดความซึมเศร้า ส่วนการรักษาแบบหลังจะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนความคิด และพฤติกรรมในแง่ลบกับตนเอง

ส่วนการรักษาโดยอาศัยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ก็นำมารักษาโรคนี้ โดยช่วยผู้ป่วยค้นหาปัญหาข้อขัดแย้งภายในจิตใจผู้ป่วย ซึ่งอาจมีรากฐานมาจากประสบการณ์ตั้งแต่เด็ก โดยทั่วไปสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง มีอาการกำเริบซ้ำๆ จะต้องการการรักษาด้วยยาร่วมกับการรักษาทางจิตใจควบคู่กัน เพื่อผลการรักษาในระยะยาวที่ดีที่สุด

รักษาโรคซึมเศร้าด้วยการใช้ยา

ในปัจจุบันยารักษาโรคซึมเศร้าแบ่งออกได้หลายกลุ่ม ตามลักษณะโครงสร้างทางเคมีและวิธีการออกฤทธิ์ คือ

กลุ่ม tricyclic (คือยาที่มีโครงสร้างทางเคมีสามวง)

กลุ่ม monoamine oxidase inhibitors เรียกย่อๆ ว่า MAOI

กลุ่ม SSRI (serotonin-specific reuptake inhibitor)

ซึ่งแต่ละกลุ่มมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ประสิทธิภาพการรักษาเท่าเทียมกัน แพทย์อาจเริ่มจ่ายยากลุ่มใดแก่ผู้ป่วย ก่อนก็ได้เพื่อดูผลตอบสนอง เนื่องจากเราไม่อาจทราบก่อนได้เลยว่า ผู้ป่วยคนใดจะ”ถูก”กับยาชนิดใด แล้วแพทย์จะค่อยๆปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับอาการต่อไป

ยารักษาโรคซึมเศร้าออกฤทธิ์โดยปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุล เป็นการรักษาโรคโดยตรง มิใช่เป็นเพียงยาที่ทำให้ง่วงหลับ จะได้ไม่ต้องคิดมากเช่นที่คนมักเข้าใจผิดกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักต้องการหยุดกินยาเร็วกว่าที่ควรเป็น ข้อสำคัญและพึงปฏิบัติที่สุดก็คือ การกินยาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าแพทย์จะบอกให้ท่านหยุด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตามยาบางตัวต้องค่อยๆลดขนาดลง เพื่อให้โอกาสร่างกายปรับตัว ไม่ต้องกังวลว่า ยารักษาโรคซึมเศร้าเป็นยาที่กินแล้วติดหยุดยาไม่ได้อย่างไรก็ตาม ก็เช่นเดียวกับการรักษาโรคอื่นๆ แพทย์อาจให้ตรวจวัดระดับยาให้ถูกต้องกับอาการเป็นระยะๆ

สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงก็คือ การซื้อยากินเองจากร้านขายยา ยืมยาจากเพื่อน หรือกินยาจากแพทย์ท่านอื่นปนกับโรคซึมเศร้า โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านก่อน เช่นเดียวกับแพทย์คนอื่นหรือหมอฟันด้วยว่า ท่านกำลังกินยารักษาโรคซึมเศร้าอยู่ อย่าวางใจว่า เป็นแค่ยาพื้นบ้านธรรมดา คงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอะไรร้ายแรง การดื่มแอลกอฮอล์จากเหล้า เบียร์ หรือไวน์ จะลดประสิทธิภาพของยาลง

ยานอนหลับหรือยาลดความกังวล ไม่ใช่ยาที่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้โดยลำพัง อย่างที่กล่าวแล้ว แม้ว่าบางครั้งแพทย์จะสั่งใช้ยาชนิดนี้ควบคู่ไปกับยารักษาโรคซึมเศร้า เพื่อบรรเทาอาการกังวลในระยะต้นของการรักษา และไม่ควรใช้ยากระตุ้นประสาทหรือยาม้าเพื่อหวังผลให้หายเพลียเพียงชั่วครั้งชั่วคราว

***ควรถามแพทย์ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาที่เกิดจากยา หรือเกิดปัญหาที่คิดว่าอาจเกิดจากยา

ผลข้างเคียงของยารักษาโรคซึมเศร้า

ยารักษาโรคซึมเศร้า มีผลข้างเคียงอยู่บ้างกับผู้ใช้บางคนอันอาจก่อความรำคาญ แต่ไม่อันตราย อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกว่ามีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบ ผลข้างเคียงต่อไปนี้มักเกิดจากกลุ่มยา tricyclics ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ถูกสั่งใช้บ่อยที่สุด และเราได้แนะนำวิธีบรรเทาผลข้างเคียงไว้ท้ายข้อแล้วดังนี้

ปากแห้งคอแห้ง - ดื่มน้ำบ่อยๆ เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี

ท้องผูก - กินอาหารที่มีกาก หรือมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ผักผลไม้ เช่น ส้มโอ มะขาม มะละกอ

ปัญหาการถ่ายปัสสาวะ - อาจมีการถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่งเช่นเคย อาจใช้มือกอหน้าท้องช่วยและปรึกษาแพทย์

ปัญหาทางเพศ - อาจมีปัญหาขณะร่วมเพศได้บ้าง ซึ่งปรึกษาแพทย์ได้

ตาพร่ามัว - อาการนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องตัดแว่นใหม่

เวียนศีรษะ - ลุกจากเก้าอี้ หรือเตียงช้าๆ ดื่มน้ำมากขึ้น

ง่วงนอน - อาการอาจหายไปเอง อย่าพยายามขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักร หากง่วงมากในช่วงเช้าให้เลื่อนยามื้อก่อนนอนมากินหัวค่ำกว่าเดิม

สำหรับกลุ่ม SSRI อาจมีผลข้างเคียงที่ต่างออกไป ดังต่อไปนี้

ปวดศีรษะ - อาจมีอาการสักช่วงหนึ่ง แล้วจะหายไป

คลื่นไส้ - มักเป็นเพียงชั่วคราว

นอนไม่หลับหรือกระวนกระวาย - พบได้ในช่วง 2 ถึง 3 สัปดาห์แรก ของการกินยา หากคงอยู่นานควรปรึกษาแพทย์

การเตรียมตัวรับมือกับโรคซึมเศร้า

โดยปกติเท่าที่มีการพบข้อมูลขณะทำการรักษา พบว่า ผู้ที่มีเกณฑ์จะเป็นโรคซึมเศร้ามักจะเริ่มเป็นตอนช่วงอายุ 25 ปี หลังจากนั้นก็จะเกิดอาการซึมเศร้าต่อเนื่องไปเป็นระยะยาว ถึงแม้ว่าจะมีการเข้ารับการรักษาแล้ว แต่ก็ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด การเป็นโรคซึมเศร้าก็จะมีความคล้ายคลึงการเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคความดัน

โรคกลัวการถูกสัมผัส Aphenphosmphobia หรือความกลัวที่จะถูกสัมผัสอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ต้องการให้มนุษย์สัมผัสหรือให้ใครสัมผัส ผู้ป่วยที่มีอาการนี้มักจะกลัวหรือไม่ชอบการสัมผัสหรือเข้าใกล้ผู้คนในทุกกรณี

โรคกลัวการถูกสัมผัส

โรคกลัวการถูกสัมผัส

มันไม่ใช่อาการของความเป็นศัตรูหรือรังเกียจ แต่มันคือความรู้สึกไม่ชอบกลัวอยากออก แต่ส่วนใหญ่จะอยู่กับมนุษย์ แต่ถึงไม่โดน แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่ขอหรือหลีกเลี่ยง

คนที่เป็นโรคนี้และเกมบอกเราตั้งแต่แรกว่ามันคือ Sam Bridges ใน Death Stranding ซึ่งในเกมมันบอกเราว่า Sam มี Aphenphosmphobia ตลอดทั้งเกมเขาพยายามออกห่างหรือแสดงความกลัวเมื่อมีคนสัมผัสเขาซึ่งทุกคนที่เล่นเกมควรรู้

ส่วนใหญ่เป็นโรคกลัวการสัมผัส เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิง มากกว่าเพศอื่น ๆ เมื่อมีความจำเป็นที่คุณต้องไปทำธุระข้างนอกพบผู้คนที่เสี่ยงต่อการทำร้ายร่างกาย ทำให้เกิดความรู้สึกกลัว

จนกว่าคุณจะต้องมีชีวิตอยู่มันเป็นเรื่องยากสำหรับการเข้าสังคมคนเดียว ไม่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับฝูงชนเช่นไปปาร์ตี้หรือออกไปเที่ยว ตลอดจนการทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ มันค่อนข้างยากในปัจจุบัน สวัสดีค่ะคุณหมอมีแนวทางการรักษา เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

โรคกลัวการผูกมัด หรือ Commitment phobia เป็นสภาวะที่กลัวการตกลงปลงใจ อธิบายง่าย ๆ คือ ไม่ชอบผูกมัดกับคนอื่น ซึ่งอาการกลัวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องผูกมัดใจกับใครเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลัวการต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตอีกด้วย ผู้ที่เป็นโรคนี้จะรู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ อึดอัดใจจนไม่สามารถตัดสินใจได้

รูปที่ 1สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกลัวการผูกมัดมีอยู่หลายปัจจัย เช่น

โตมาในครอบครัวที่แยกทางกัน มีปัญหาในครอบครัว ทำให้เกิดการกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำขึ้นอีกกับตัวเอง

เคยพบเจอกับเหตุการณ์ในอดีตเกี่ยวกับความรักที่รุนแรง กระทบกระเทือนใจจนไม่กล้าเริ่มต้นใหม่กับใคร

เคยตัดสินใจผิดพลาดจนไม่กล้าตัดสินใจอีก

เหตุการณ์ต่าง ๆ นำพามาซึ่งการกลัวที่จะผูกมัดกับใคร

รูปที่ 2โรคนี้อาจทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้มีคู่ยาก จนไปถึงอาจจะเสียคนดี ๆ ออกไปจากชีวิตได้ค่ะ ซึ่งไม่ดีแน่ ๆ หากโรคนี้เกิดขึ้นกับคนที่เรากำลังคุยอยู่

เราลองมาเช็คลิสต์กันค่ะว่าคนที่เรากำลังคุย ๆ อยู่เขาเป็นโรคนี้หรือเปล่า อาการมีดังนี้ค่ะ

รูปที่ 3

คาดเดาไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร บางทีลองถามไปก็ชอบเปลี่ยนเรื่องตลอด

ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเขาเลย แม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายบอกไปก่อนก็เหมือนหูทวนลม

กลัวการสัญญา พอบอกให้สัญญาเงียบตลอด

ไม่อยากให้ครอบครัวรับรู้ คือ ไม่เคยพาเราไปให้ครอบครัว หรือเพื่อนของเขารู้จักเลย

พอเราเริ่มจริงจังต้องการคำตอบจากปากเขา เขาจะเริ่มตีตัวออกห่าง บางรายก็หายไปเลย อยู่ดี ๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ !!!!

เมื่อเพื่อน ๆ ลองสังเกตอาการคนที่เราคุยอยู่ดันมีอาการตามที่กล่าวไปด้านบนควรทำไงดี มีทางหายไหม !

จริง ๆ แล้วโรคนี้มีสิทธิ์หายได้ค่ะ หลักในการรักษาโรคในลักษณะนี้คือใช้วิธีปรับพฤติกรรม ปรับความคิด ขจัดความกลัว ความกังวลที่เคยมีอยู่ให้หายไป อาจจะลองไปเข้ารับการบำบัดเพื่อให้รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องในอดีตให้น้อยลงก็ช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น หรือทั้งนี้เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเขาได้นะคะถ้าเราอยากเปลี่ยนเขาจริง ๆ ลองเปิดใจพูดคุย แล้วทำความเข้าใจเขาให้มาก ๆ ค่ะ

สุดท้ายนี้เราเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามค่ะ ไม่แน่นะคะ ความรักของคุณอาจทำให้คนที่เจอปัญหานี้อยู่ถูกปลดล็อกและทำให้เขากล้ากลับมาคบกับใครสักคนก็ได้นะคะ

โรคแพนิค” หรือโรคตื่นตระหนกเป็นโรคที่ทันยุคทันสมัย เรียกได้ว่าเป็นอาการที่เราอาจได้ยินบ่อยครั้งยิ่งขึ้นจากคนรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตตามวิถีคนเมืองใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคแพนิคก่อตัวขึ้นแบบที่เราไม่ทันได้รู้ตัวเลยทีเดียว

โรคแพนิค คืออะไร?

โรคแพนิค (Panic Disorder) คือ ภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งโรคนี้แตกต่างจากอาการหวาดกลัวหรือกังวลทั่วไป เนื่องจากผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิค (Panic Attacks) หรือหวาดกลัวอย่างรุนแรง ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

อาการแพนิคสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคแพนิครู้สึกกลัวและละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งและพบได้มากแต่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จัก แม้กระทั่งเมื่อเป็นโรค ผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดอาจไม่ทราบว่าอาการที่ผู้ป่วยแสดงออกนั้นเป็นอาการของโรคแพนิค

โรคแพนิคเกิดจากฮอร์โมนลดกะทันหัน ทำให้สารสื่อในสมองผิดปกติคล้ายกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลประสาททำงานผิดพลาด สมองรวน ทำให้สมองหลั่งสารตื่นตระหนกออกมา หลังอาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยมักรู้สึกอ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรงและกังวลว่าอาการจะกลับมากำเริบอีก

อาการของโรคแพนิค

หายใจไม่อิ่ม หายใจตื้น

ใจสั่น ใจหายวาบ เจ็บหน้าอก แน่นอก

ตัวสั่น มือสั่น เหงื่อแตก หนาวๆร้อนๆ

จุกแน่นในลำคอ คลื่นท้องไส้ปั่นป่วน

วิงเวียน โคลงเคลง ชาตามร่างกาย คล้ายจะเป็นลม

รู้สึกกลัวจนเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้

สาเหตุของโรคแพนิค

การใช้ชีวิตที่ผันเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน ทำให้ผู้คนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เร่งรีบยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมได้ ซึ่งพฤติกรรมที่พบหลายอย่างพบว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคแพนิค เช่น การไม่ทานอาหารเช้าหรือทานอาหารอย่างเร่งรีบ ทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พักผ่อนไม่เพียงพอ จริงจังและเคร่งครัดกับชีวิต อยู่ในสภาวะกดดันเป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้เมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะสร้างความเครียดสะสม

ในบางกรณีอาจจะเคยมีอดีตที่ฝังใจ เคยอกหัก สูญเสีย หรือมีเรื่องกระทบจิตใจอย่างรุนแรงมาก่อน นอกจากนี้อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ เคยมีประวัติญาติหรือคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน

ดังเช่นกรณีศึกษาของผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งที่ตัดสินใจมาพบจิตแพทย์ เนื่องจากรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจของตนเอง โดยผู้ป่วยเล่าถึงที่มาของอาการที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่หนักหน่วง ทั้งในเรื่องการเดินทางไปกลับกว่า 200 กิโลเมตรต่อวันเพราะต้องเดินทางไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยา อีกทั้งการทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีความเคร่งครัด มีระบบระเบียบ มีการดื่มสังสรรค์บ่อยครั้งหรือแทบจะทุกคืน น้ำหนักตัวพุ่งขึ้นกว่า 100 กิโลกรัม พักผ่อนไม่เพียงพอ และมีปัญหาสุขภาพตามมา จนทำให้สูญเสีย “สมดุลร่างกาย” เกิดภาวะที่วิตกกังวลเมื่ออยู่ในภาวะบีบคั้น เช่น การติดอยู่ในการจราจรที่ติดขัดโดยที่ไม่รู้สาเหตุ คาดเดาเหตุการณ์ไม่ได้ ทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด เหงื่อออกที่มือ เท้า และหลัง ใจสั่นเหมือนจะขาดใจตาย

นอกจากนี้ ภาวะดังกล่าวยังทำให้เขาต้องเสียโอกาสด้านการทำงานเพราะต้องขอลาออกจากบริษัทถึง 2 บริษัท เนื่องจากทางบริษัทขอให้เดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินค่อนข้างนานกว่า 15 ชั่วโมง และเขารู้ตัวดีกว่านั่นเป็นภาวะที่เขาไม่สามารถทนรับได้ ทำให้ต้องใช้ชีวิตแบบหนีจากภาวะดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดได้ตัดสินใจมาพบแพทย์ ซึ่งจิตแพทย์ได้ทำการประเมินอาการ และค้นหาสาเหตุ พร้อมให้ยาและจิตบำบัดโดยการพูดคุยเพื่อแนะนำหลักการใช้ชีวิตที่เหมาะสม

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี ผู้ป่วยรายนี้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม โดยเขาได้เริ่มออกกำลังกายโดยการวิ่งอย่างจริงจังจนน้ำหนักตัวจากเดิม 102-105 กิโลกรัม ลดลงเหลือเพียง 79 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อร่างกายพร้อม จิตใจที่เคยเปราะบางก็กลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างเดิม

โรคแพนิคไม่มีอันตราย ไม่ทำให้ผู้ป่วยตายหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่ทำให้เกิดความกังวลใจ ซึ่งข้อแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชในกรณีโรคแพนิค คือ การรู้เท่าทันอารมณ์ของตน หรือตามหลักพระพุทธศาสนาที่ได้กล่าวไว้เรื่องของการครองสติให้มั่น เพื่อให้เข้าใจภาวะปัจจุบันของตนเอง และหากไม่สามารถจัดการภาวะที่เกิดขึ้นได้ ข้อแนะนำอีกข้อที่สำคัญ คือ การปรึกษาจิตแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการและดำเนินการรักษาต่อไป

โรคเครียด (Acute Stress Disorder) คือ ภาวะที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ร้ายแรง ซึ่งภาวะดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายและจิตใจ ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด จะเกิดอาการเครียดประมาณหนึ่งเดือน หากเกิดอาการนานกว่านั้นจะกลายเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ (Posttraumatic Stress Disorder: PTSD)

โรคเครียด

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย ร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสู้หรือหนี (Fight-or-Flight) ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว และความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดจะรู้สึกกลัว หวาดระแวง หรือตื่นตระหนกหลังเผชิญสถานการณ์อันตราย ทั้งนี้ อาจรู้สึกวิตกกังวล ว้าวุ่น และฟุ้งซ่าน หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม มนุษย์เราจะประสบภาวะเครียดจากสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ สถานการณ์บางอย่างอาจทำให้คนหนึ่งเกิดความเครียดได้ ในขณะที่อีกคนอาจรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ และไม่รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อาการของโรคเครียด

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดมักเกิดอาการของโรคทันทีที่เผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด โดยจะเกิดอาการของโรคเป็นเวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ อาการโรคเครียด มีดังนี้

เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำ ๆ ผู้ป่วยจะเห็นฝันร้าย หรือนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อยู่เสมอ

อารมณ์ขุ่นมัว อารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ป่วยโรคเครียดมักแสดงออกมาในเชิงลบ ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี มีความทุกข์ ไม่ร่าเริงแจ่มใสหรือรู้สึกไม่มีความสุข

มีพฤติกรรมแยกตัวออกมา ผู้ป่วยจะเกิดหลงลืมมึนงง ไม่มีสติหรือไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวเอง หรือรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง

หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ผู้ป่วยจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ สิ่งของ กิจกรรม หรือบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ

ไวต่อสิ่งเร้า ผู้ป่วยจะนอนหลับยาก โมโหหรือก้าวร้าว ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

ทั้งนี้ โดยทั่วไป มนุษย์เรามักเกิดความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งความรู้สึกดังกลาวอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายและอารมณ์บ้าง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรม ดังนี้

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ปวดหลัง เจ็บขากรรไกร รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับเอ็นตามกล้ามเนื้อ

ร่างกายตื่นตัวมาก ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ มือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ปวดไมเกรน หายใจไม่สุด และเจ็บหน้าอก

อ่อนเพลีย

แรงขับทางเพศลดลง

ปวดท้อง หรือรู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งเกิดจากปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องร่วง หรือท้องผูก

มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ

ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึก

วิตกกังวลและฟุ้งซ่าน

รู้สึกกดดันอยู่เสมอ รวมทั้งตื่นตัวได้ง่ายกว่าปกติ

ไม่มีสมาธิ หรือหมดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ

ซึมเศร้า

อารมณ์แปรปรวนง่าย

ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม

รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าปกติ

มักโกรธและอาละวาดได้ง่าย

สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ

ไม่เข้าสังคม ไม่พบปะผู้คน รวมทั้งไม่สนใจสิ่งรอบตัว

ทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง

สาเหตุโรคเครียด

โรคเครียดมีสาเหตุมาจากการพบเจอหรือรับรู้เหตุการณ์อันตรายที่ร้ายแรงมาก โดยเหตุการณ์นั้นทำให้รู้สึกกลัว ตื่นตระหนก หรือรู้สึกสะเทือนขวัญ เช่น การประสบอุบัติเหตุจนเกือบเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง รวมทั้งทราบข่าวการเสียชีวิต ประสบอุบัติเหตุ หรือการป่วยร้ายแรงของคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดโรคเครียดซึ่งพบได้ทั่วไปนั้น มักเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการออกรบของทหาร ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกโจรปล้น ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือทราบข่าวร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว นอกจากนี้ โรคเครียดยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย โดยผู้ที่เสียงป่วยเป็นโรคเครียดได้สูง มักมีลักษณะ ดังนี้

เคยเผชิญเหตุการณ์อันตรายอย่างรุนแรงในอดีต

มีประวัติป่วยเป็นโรคเครียดหรือภาวะเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ

มีประวัติประสบปัญหาสุขภาพจิตบางอย่าง

มีประวัติว่าเกิดอาการของโรคดิสโซสิเอทีฟเมื่อเผชิญเหตุการณ์อันตราย เช่น หลงลืมตัวเองหรือสิ่งต่าง ๆ อารมณ์แปรปรวนกะทันหัน วิตกกังวลหรือรู้สึกซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคเครียด

ผู้ที่ผ่านการเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรง อาจเกิดอาการของโรคเครียดได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยสาเหตุ โดยแพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบหรือได้รับรู้ รวมทั้งสอบถามอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย ทั้งนี้ เมื่อได้รับการตรวจแล้ว แพทย์อาจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการป่วยว่า เกิดจากสาเหตุอื่นหรือไม่ เช่น การใช้สารเสพติด ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางอย่าง ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หากอาการที่ผู้ป่วยเป็นไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น ก็แสดงว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคเครียด

การรักษาโรคเครียด

วิธีรักษาโรคเครียดคือการรับมืออาการของโรคที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ผู้ป่วยควรเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว และพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนเพื่อระบายความเครียดอย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เกิดอาการรุนแรงหรือเกิดความเครียดเรื้อรัง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

ปรึกษาแพทย์ การปรึกษาจิตแพทย์ถือเป็นวิธีรักษาโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเครียดที่เกิดอาการรุนแรงและเป็นมานาน โดยแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยจัดการอาการของโรคที่เกิดขึ้นได้

บำบัดความคิดและพฤติกรรม ผู้ป่วยโรคเครียด

การฆ่าตัวตาย หรือ อัตวินิบาตกรรม เป็นการกระทำให้ตนเองถึงแก่ความตายอย่างตั้งใจ การฆ่าตัวตายมักเกิดจากภาวะซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว โรคจิตเภท ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง[9] โรคพิษสุรา หรือการใช้สารเสพติด[4] ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดเช่นความลำบากทางการเงิน หรือปัญหากับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็มีส่วนเช่นกัน ความพยายามป้องกันการฆ่าตัวตายหมายรวมถึงการจำกัดการฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ปืน และสารพิษ การรักษาอาการทางจิตและการใช้สารเสพติด และการปรับปรุงสถานะทางการเงิน แม้ว่าบริการที่ปรึกษาสายด่วนจะมีทั่วไป แต่แทบไม่มีหลักฐานว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพ[10]

การฆ่าตัวตาย

Édouard Manet - Le Suicidé (ca. 1877).jpg

Le Suicidé โดยเอดัวร์ มาแน

สาขาวิชา

จิตเวชศาสตร์

การตั้งต้น

>70 และ 15–30 ปี[1]

สาเหตุ

การแขวนคอ, พิษของยาฆ่าแมลง, ปืน[2][3]

ปัจจัยเสี่ยง

โรคซึมเศร้า, โรคอารมณ์สองขั้ว, โรคจิตเภท, ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ, โรควิตกกังวล, โรคพิษสุรา, substance abuse[2][4][5]

การป้องกัน

จำกัดโอกาสฆ่าตัวตาย, บำบัดโรคประจำตัวผู้ป่วย, สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวฆ่าตัวตายอย่างระมัดระวัง, พัฒนาสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ[2]

ความชุก

12 คนใน 100,000 คนต่อปี;[6] 0.5% (โอกาสในชีวิต)[7]

การเสียชีวิต

793,000 / 1.4% ของการตาย (2016)[8]

นิติเวชศาสตร์

Cro-Magnon-female Skull.png

ขอบเขตนิติเวชศาสตร์

นิติพยาธิวิทยา • นิติเวชกีฏวิทยา

นิติพิษวิทยา • นิติเวชคลินิก

นิติเซโรวิทยา • นิติจิตเวช

พยาธิกายวิภาค

พยาธินิติเวช • พยาธิวิทยาคลินิก

เวชศาสตร์จราจร • กฎหมายการแพทย์

การตรวจพิสูจน์บุคคล

การศึกษาโครงกระดูก

การชันสูตรพลิกศพ

พยานทางเคมี • พยานวัตถุ

การตรวจสถานที่

การสืบสวนกรณีเสียชีวิต • การตรวจศพ

การเปรียบเทียบการตาย

การผ่าและพิสูจน์ศพ

ทางนิติเวช • ทางพยาธิวิทยา

ทางนิติพยาธิ • ทางพิษวิทยา

การตรวจชิ้นเนื้อ • การหาสาเหตุการตาย

การตรวจสารพันธุกรรม

การตรวจสอบระยะเวลาตาย

การหาระยะเวลาการตาย

การประมวลระยะเวลาการตาย

การเปลี่ยนแปลงหลังการตาย

รอยเขียวช้ำ • สภาพแข็งทื่อ

ตัวเย็น • การเน่าสลายตัว

อาหารในกระเพาะ • หนอนที่พบในศพ

บาดแผล

ของแข็งไม่มีคม • ของแข็งมีคม

บาดแผลกระสุนปืนและวัตถุระเบิด

การตายและการตรวจสอบ

ขาดอากาศ • จมน้ำตาย • ไฟและความร้อน

กระแสไฟฟ้า • จราจร • ข่มขืน

สารพิษ • การตายกะทันหัน • สาเหตุอื่น

การฆ่าตัวตาย • DNA • ความผิดทางเพศ

ผู้ป่วยคดีและผู้ถูกข่มขืน

หน่วยงานในสังกัด

สถาบันนิติเวชวิทยา

กล่องนี้:

ดูคุยแก้

วิธีการฆ่าตัวตายที่พบได้บ่อยที่สุดแตกต่างกันไปตามประเทศและส่วนหนึ่งจะขึ้นกับความเป็นไปได้ วิธีการทั่วไปได้แก่ การแขวนคอ การวางยาด้วยสารฆ่าสัตว์รังควาน และอาวุธปืน การฆ่าตัวตายคร่าชีวิตคน 842,000 คนใน ค.ศ. 2013 ขึ้นจาก 712,000 คนใน ค.ศ. 1990[11] ทำให้เป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 10 ทั่วโลก[4][6] อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[12] โดยผู้ชายมีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง 3-4 เท่า มีการฆ่าตัวตายที่ไม่ถึงแก่ชีวิตประมาณ 10-20 ล้านครั้งทุกปี[13] ความพยายามฆ่าตัวตายที่ไม่ถึงแก่ชีวิตมักก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และความพิการระยะยาว ความพยายามดังกล่าวนี้มักพบในคนอายุน้อยและผู้หญิง

ทรรศนะที่มีต่อการฆ่าตัวตายมีหลายประเด็น เช่น ด้านศาสนา เกียรติยศ และความหมายของชีวิต ศาสนาอับราฮัมมองการฆ่าตัวตายว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าเนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต ในยุคซะมุไรในญี่ปุ่น เซ็ปปุกุจัดเป็นหนึ่งในวิธีการไถ่โทษสำหรับความผิดพลาด หรือเป็นการประท้วงรูปแบบหนึ่ง พิธีสตี ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คาดหวังให้หญิงม่ายบูชายัญตนเองบนกองฟืนเผาศพของสามี ทั้งสมัครใจหรือจากความกดดันจากครอบครัวและสังคม[14]

ขณะที่ในอดีต การฆ่าตัวตายและความพยายามฆ่าตัวตาย เป็นอาชญากรรมต้องโทษ แต่ปัจจุบันในประเทศตะวันตกมิเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังถือว่าเป็นอาชญากรรมในหลายประเทศ ในศตวรรษที่ 20 และ 21 มีการฆ่าตัวตายที่เป็นการบูชายัญตนเองเกิดขึ้นบางโอกาสเป็นสื่อกลางการประท้วง และคะมิกะเซะและการระเบิดฆ่าตัวตายเกิดขึ้นเป็นยุทธวิธีทางทหารหรือการก่อการร้าย[15]

เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรทำ ก่อนจะตัดสินใจทำ ให้นึกถึงคนที่รักเรานะคะ🥺🤒

ถ้าไม่มีคนที่รัก เราจะรักคุณเองค่ะ ให้นึกไว้ว่าเราคอยให้กำลังใจนะคะ🥺🤒

เปิดเรื่อง 21/07/2021

คนฮอตของคณะ

มหาวิทยาลัย V

ที่คณะนิเทศศาสตร์ สาขา ศิลปะการแสดง มาวิน ผู้ที่ฮิตในหมู่หญิงสาวและชายหนุ่มหลายๆคน

"วันนี้เรียนกี่โมงวะไอ้มาวิน" ธันวาเอ่ยถามมาวินขึ้นมา

"เรียนประมาณบ่ายโมง" มาวินตอบกลับอย่างเย็นชาก่อนจะเดินไปที่โรงอาหารรวมทันที

"เอ้า! รอกูด้วย!" ธันวารีบวิ่งตามมาวินที่เดินนำหน้าของตนเพราะกลัวว่าจะตามไม่ทัน ไอ้เจ้ามาวินยิ่งเดินเร็วอยู่

เมื่อมาถึงโรงอาหารรวม

"กรีสสส พี่มาวินน!"

"พี่มาวินค้าบบ วันนี้น่ารักอีกแล้วว"

ทั้งสายตาที่มองมายังมาวิน และ เสียงเรียกมาวินนั้นยิ่งฟังแล้วก็อึดอัด...

[ไม่ชอบเลย]

"ช่วยเงียบเถอะครับ รำคาญ.." มาวินเอายคำเย็นชาแลบนั้นออกมา ทำให้เสียงทั้งหมดเงียบไป

[ถ้าเขารู้...ว่าเราไม่ได้รวย จะยังทำดีด้วยกันอยู่มั้ยนะ คนพวกนี้...สนแค่หน้าตากับชื่อเสียงนั่นแหละ..]

[กลัวจัง..]

มาวินเริ่มขาสั่น ทุกสายตาที่จับจ้องมองมาที่เขา ทำให้รู้สึกประหม่าได้ไม่น้อย

มาวิน รวบรวมความกล้าก้าวเดินไปสั่งข้าว

"ป้าครับ ผมเอาข้าวผัดกระเพราครับ ใส่กิมจิด้วยนะครับ"

"โอเคจ้า รอแปบนึงนะ"

"ครับ"

มาวินยืนรอสักพัก ป้าก็เอาข้าวตามที่มาวินสั่งให้ แล้วมาวินก็จ่ายตังก่อนจะเดินหาโต๊ะนั่ง

"ไอ้เพื่อนเวร ไม่รอกู!" ธันวาวิ่งมาจับมือมาวินไว้เพื่อให้มาวินหยุดเดิน

ปั่ก!!

"อย่ามาจับนะ!!!!!" มาวินตะคอกเสียงดังทำให้ธันวาตกใจ

ผู้คนต่างมองมาทางมาวินและธันวา

" อะ...อะไรของมึง กูจับไม่ได้ไง" ธันวาเสียงสั่นเล็กน้อย

"....."

แต่สิ่งที่ธันวาได้รับคือ...ความเงียบ

"ตอบกูหน่อยได้มั้ย...กูจับไม่ได้เลยหรอ..."

"ไว้..ค่อยบอกได้มั้ย..."

"แหมๆ หวงตัวหรอ อย่างนี้...จะเด็ดมั้ยนะ:)"

บุคคลปริศนาที่เดินเข้ามาใหม่เอ่ยขึ้นด้วยวาจาที่ไม่น่าฟังมากนัก

[อยากจะอ้วก...พูดมาได้ยังไง]

"เหอะ...จะเด็ดหรือไม่ ต้องรู้ด้วยหรอ" ธันวาเอ่ยปกป้องมาวิน

"ปกป้องกันดีเหลือเกินนะ" คิง เอ่ยขึ้นพูดเย้ย

ติดตามตอนต่อไป

สำหรับคนที่งงนะคะ จะมาอธิบายให้นะคะ

คือมาวินนั้นเป็นโรคที่เรียกว่า โรคกลัวการถูกสัมผัส

มาวินไม่กล้าที่จะมองหรือสบตาใครตรงๆ ไม่ชอบตอบโต้มักจะเก็บไว้ในใจคิดใจใจคนเดียวค่ะ และ มาวินนั้น เป็นนายเอก ของเรื่อง

คำเตือน ⚠️ ควรเตรียมตัวไว้บ้างนะคะ เพราะ มันจะเศร้ามาก ในตอนจบ

ตอนสั้น;-;

"ปกป้องกันดีเหลือเกินนะ" คิง เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ย

ผู้คนที่อยู่ในโรงอาหารรวมในตอนนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรือปริปากแม้แต่น้อย

"นี่...อยากรู้อะไรมั้ยคิง.." มาวินเอ่ยเสียงเรียบในขณะที่ก้มหน้าอยู่

"หื้ม? อะไรกัน กล้าเปิดปากแล้วหรอ" คิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงกวน

"นายหน่ะ...นิสัยโคตร 'ต่ำ' เลยนะ.." มาวินค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคิงแล้วแสยะยิ้ม และแน่นอนว่า

มีเพียงคิงที่เห็นมัน...(:

"มะ...มึงก็ไม่ได้มีดีเหี้ยไรดีหรอก นอกจากหน้าตา!!" คิงพูดเสียงดังพรางชี้หน้ามาวินไปด้วย

[อา...น่าฆ่า...น่าจะฆ่าให้ตาย]

[ทำไม่ได้นะ...อย่าทำนะ]

ความคิดของมาวินกำลังตีกันมั่วไปหมด อธิบายไม่ได้เลยกับความรู้สึกของเขา มันจะพังรึป่าว ทุกสิ่งที่สร้างมา จะพังมั้ยนะ... ชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยนี้ ครูที่เอ็นดูเสมอ จะพังหมดเลยรึป่าวนะ...

"นี่!! อย่ามาว่าพี่มาวินของพวกเรานะ!!!"

"ใช่ๆ แกนั่นแหละ ที่ไม่มีอะไรดี!"

"อิจฉาคนอื่นไปทั่ว!!"

"ขาดความอบอุ่นสินะ! เลยมาว่าพี่มาสินของพวกเรา!!!

"เหอะ!! สมเพช!!"

เสียงคนที่เป็นแฟนคลับของมาวิน ต่างพูดจึ้นมาต่างๆนาๆ ด่าทอคิง ที่บังอาจมาว่า รุ่นพี่มาวินของพวกเขา

[พวกเขา...ปกป้องเรา...หรอ..]

[ดี...ดีจัง]

[อยากให้เป็น...แบบนี้ตลอดเลย...]

[อยากให้มีคนปกป้องแบบนี้...ตลอดไปเลย]

"อา..ขอบคุณทุกคนละกันนะครับ ที่ช่วยผม.." มาวินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ สร้างความเขินความน่าเอ็นดูได้อย่างดี

โรคกลัวสังคม คืออะไร?

โรคกลัวสังคมหรือที่เรียกว่า Social anxiety disorder คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ

ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ

แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นโรคกลัวสังคม

การพิจารณาว่าป่วยหรือไม่นั้น ให้สังเกตว่ามีอาการประหม่าทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นๆหรือไม่ หากในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะ หรือมีคนจำนวนมากจ้องมอง เช่น ขึ้นเวทีเพื่อพูดนำเสนอบางอย่าง ในคนปกติอาจมีความประหม่าในครั้งแรกที่ต้องทำ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝน ซักซ้อม ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ และไม่ได้เป็นทุกครั้งที่ต้องขึ้นเวที แต่จะเป็นเพียงบางครั้ง เช่น พิธีกร อาจเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องพูดในงานที่มีคนเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่หากต้องพูดในเวทีเล็ก ๆ ที่เคยเจอมาแล้วจะไม่มีอาการอะไร แบบนั้นถือเป็นความประหม่าปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โรคกลัวสังคม

แต่ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สถานการณ์ที่มีคนจ้องมองเยอะ หรือสถานการณ์ที่ต้องทำบางอย่างในที่สาธารณะ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคกลัวสังคม ยังมีอาการประหม่าเมื่อต้องสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย แม้จะเป็นการสนทนาแบบสองต่อสอง มักมีความอึดอัด ไม่สบายใจ กังวลว่าคู่สนทนาจะสังเกตเห็นท่าทีที่ดูไม่ดีหรือน่าอับอายของตนเองตลอดเวลา และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะพยายามเลี้ยงสถานการณ์นั้นๆ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานมาก โดยระยะเวลาของอาการป่วยมักเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

คนขี้อาย และ ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมนั้นต่างกันอย่างไร?

ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมจะแตกต่างกับคนขี้อาย โดยคนขี้อายจะมีอาการไม่มากเท่ากับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม บางครั้งอาจมีอาการและบางครั้งอาจไม่มี ไม่ได้มีอาการตลอดเวลา เหมือนกับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม และคนขี้อายมักมีอาการในสถานการณ์สำคัญหรือในสถานการณ์ที่มีคนที่เขาแคร์มากอยู่ด้วย

สาเหตุของการเกิดโรคกลัวสังคม

ที่พบบ่อยคือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ ส่วนในวัยเด็กสามารถเจอได้เช่นกัน

ผลกระทบของโรคกลัวสังคม

ส่วนมากมักส่งผลต่อหน้าที่การงานโดยตรง เพราะผู้ป่วยมักหลีกเลี่ยงการนำเสนอผลงาน บางรายยังยอมให้ผู้อื่นเป็นผู้นำเสนอผลงานของตนเอง ทำให้สูญเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บางคนอาจหลีกเลี่ยงการพบผู้คน ไม่ค่อยเข้าสังคม

การรักษาโรคกลัวสังคม

สาเหตุของโรคที่สำคัญเกิดจากความคิดของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้พวกเขาประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวดูไม่ดีในสายตาคนอื่น กลัวถูกจับจ้อง ซึ่งหลายครั้งเป็นการคิดไปเองของผู้ป่วย เพราะในความเป็นจริง ผู้อื่นอาจไม่ได้สนใจผู้ป่วยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด

นอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก

***โรคกลัวสังคม คืออะไร?

โรคกลัวสังคมหรือที่เรียกว่า Social anxiety disorder คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย  การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ

ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม  จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ

แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นโรคกลัวสังคม

การพิจารณาว่าป่วยหรือไม่นั้น ให้สังเกตว่ามีอาการประหม่าทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นๆหรือไม่ หากในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะ หรือมีคนจำนวนมากจ้องมอง เช่น ขึ้นเวทีเพื่อพูดนำเสนอบางอย่าง ในคนปกติอาจมีความประหม่าในครั้งแรกที่ต้องทำ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝน ซักซ้อม ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ และไม่ได้เป็นทุกครั้งที่ต้องขึ้นเวที แต่จะเป็นเพียงบางครั้ง เช่น พิธีกร อาจเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องพูดในงานที่มีคนเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่หากต้องพูดในเวทีเล็ก ๆ ที่เคยเจอมาแล้วจะไม่มีอาการอะไร แบบนั้นถือเป็นความประหม่าปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โรคกลัวสังคม

แต่ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สถานการณ์ที่มีคนจ้องมองเยอะ หรือสถานการณ์ที่ต้องทำบางอย่างในที่สาธารณะ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคกลัวสังคม ยังมีอาการประหม่าเมื่อต้องสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย แม้จะเป็นการสนทนาแบบสองต่อสอง มักมีความอึดอัด ไม่สบายใจ กังวลว่าคู่สนทนาจะสังเกตเห็นท่าทีที่ดูไม่ดีหรือน่าอับอายของตนเองตลอดเวลา และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะพยายามเลี้ยงสถานการณ์นั้นๆ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานมาก   โดยระยะเวลาของอาการป่วยมักเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

คนขี้อาย และ ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมนั้นต่างกันอย่างไร?

ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมจะแตกต่างกับคนขี้อาย โดยคนขี้อายจะมีอาการไม่มากเท่ากับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม บางครั้งอาจมีอาการและบางครั้งอาจไม่มี ไม่ได้มีอาการตลอดเวลา เหมือนกับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม และคนขี้อายมักมีอาการในสถานการณ์สำคัญหรือในสถานการณ์ที่มีคนที่เขาแคร์มากอยู่ด้วย

สาเหตุของการเกิดโรคกลัวสังคม

ที่พบบ่อยคือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ ส่วนในวัยเด็กสามารถเจอได้เช่นกัน

ผลกระทบของโรคกลัวสังคม

ส่วนมากมักส่งผลต่อหน้าที่การงานโดยตรง เพราะผู้ป่วยมักหลีกเลี่ยงการนำเสนอผลงาน บางรายยังยอมให้ผู้อื่นเป็นผู้นำเสนอผลงานของตนเอง ทำให้สูญเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บางคนอาจหลีกเลี่ยงการพบผู้คน ไม่ค่อยเข้าสังคม

การรักษาโรคกลัวสังคม

สาเหตุของโรคที่สำคัญเกิดจากความคิดของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้พวกเขาประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวดูไม่ดีในสายตาคนอื่น กลัวถูกจับจ้อง ซึ่งหลายครั้งเป็นการคิดไปเองของผู้ป่วย เพราะในความเป็นจริง ผู้อื่นอาจไม่ได้สนใจผู้ป่วยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด

นอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก

1. สวัสดี

你    好

nǐ    hǎo

หนี่  ห่าว

ฉันขออนุญาติแนะนำตัวเอง

我来自我介绍。

Wŏ lái zì wŏ jièshào

หว่อ ไหล จื้อ หว่อ เจี้ยเส้า

3. ฉันชื่อ มาลี

我    叫 มาลี

wǒ   jiào  มาลี

หว่อ  เจี้ยว มาลี

4. ชื่อเล่นของฉันคือหลิงหลิง

我的小名叫玲玲。

Wŏ de xiăomíng jiào Línglíng

หว่อ เตอ เสี่ยวหมิง เจี้ยว หลิงหลิง

อายุ17ปี  ฉันเป็นคนไทย

我今年17岁。我是泰国人。

Wǒ jīnnián 17 suì. Wǒ shì tàiguó rén.

หว่อ จินเหนียน สือชี ซุ่ย  หว่อ ซื่อ ไท่ กั๋ว เหริน

บ้านฉันอยู่เชียงใหม่

我家在清迈。

Wǒjiā zài qīng mài.

หว่อ เจีย จ้าย ชิง ม่าย

7.ฉันมีพี่น้อง4คน น้องหนึ่งคน พี่ชายสองคนและฉัน

我有四个兄弟姐妹,一个妹妹,两个哥哥和我。

Wǒ yǒu sì gè xiōngdì jiěmèi, yīgè mèimei, liǎng gè gēgē hé wǒ.

หวอ โหย่ว ซื่อ เก้อ ซงตี้เจี่ยเม่ย  อี๋เก้อ เม่ยเมย  เหลี่ยงเก้อ เกอเกอ เหอ หว่อ

8. ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียน OEC

我在OEC学校上学。

Wŏ zài OEC xuéxiào shàngxué.

หว่อ ไจ้ OEC เสวียเสี้ยว ซั่งเสวีย

9. ฉันกำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5

现在上高中二年级。

Xiànzài shàng gāozhōng èr niánjí

เสี้ยนไจ้ ซั่ง เกาจง เอ้อร์ เหนียนจี๋

10. ฉันพักอาศัยกับพ่อแม่

我跟父母一起住。

Wŏ gēn fùmŭ yìqǐ zhù.

หว่อ เกิน ฟู่หมู่ อี้ฉี่ จู้

11.ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักคุณ (ยินดีที่ได้รู้จัก)

很    高    兴    认    识    你

hěn  gāo  xìng  rèn  shí   nǐ

เหิ่น  เกา   ซิ่ง    เริ่น   สื่อ  หนี่

12.ฉันชอบเรียนภาษาจีน

我喜欢学汉语。

Wǒ xǐhuan xué hànyǔ.

หว่อ สี่ฮวน เสีย ฮ่าน อยู่ร์

13. งานอดิเรกของฉันคืออ่านหนังสือและเล่นอินเตอร์เน็ต

我的爱好是看书和上网。

Wŏ de àihào shì kàn shū hé shàngwăng.

หว่อ เตอ ไอ้เห้า ซื่อ คั่น ซู เหอ ซั่งหวั่ง

กีฬาที่ฉันชื่นชอบคือว่ายน้ำ

我喜欢的运动是游泳。

Wŏ xǐhuān de yùndòng shì yóuyŏng.

หวอ สี่ฮวน เตอ ยวิ่นต้ง ซื่อ โหยวหย่ง

15. ความฝันของฉัน ฉันอยากเป็นครูภาษาจีน

我的理想,我想当汉语老师。

Wǒ de lǐxiǎng, wǒ xiǎng dāng hànyǔ lǎoshī.

หว่อ เตอ หลี เสี่ยง  หวอ เสี่ยง ตาง ฮ่าน อยู่ร์ เหล่าซือ

16. คุณชื่ออะไร ?

你    叫    什    么    名 ?

nǐ    jiào  shén  me  míng

หนี่  เจี้ยว  เสิ่น  เมอ หมิง ?

หากเป็นการแนะนำตัวต่อคนหมู่มาก หรือต่อหน้าคนเยอะๆ เราก็อาจใช้อีกคำหนึ่งแทน คือคำว่า

大 家

dà jiā

ต้า เจีย

ซึ่งแปลว่า ท่านทั้งหลาย หรือคุณทั้งหลาย แทนคำว่า หนี่ ที่แปลว่า คุณ

大 家 好

dà jiā hǎo

ต้า เจีย ห่าว

สวัสดีท่านทั้งหลาย

早 安

zǎo ān

เจ่า อัน

สวัสดีตอนเช้า

午 安

wǔ ān

หวู่ อัน

สวัสดีตอนบ่าย

การทักทายในภาษาจีน

1.你好

    Nǐ hǎo

    หนี่ห่าว

    สวัสดี

2.您好

    Nín hǎo

    หนินห่าว

    สวัสดี

3.早安

   Zǎo ān

   เจ่าอาน

   อรุณสวัสดิ์

4.早上好

   Zǎoshang hǎo

   เจ่าซ่างห่าว

   สวัสดีตอนเช้า

5.晚安

   Wǎn'ān

   หวานอาน

   ราตรีสวัสดิ์

6.晚上好

   Wǎnshàng hǎo

   หว่านซ่างห่าว

   สวัสดีตอนเย็น

7.老师好

   Lǎoshī hǎo

   เหล่าซือห่าว

   สวัสดีคุณครู/อาจารย์

   

8.好久不见,你怎么样?

   Hǎojiǔ bùjiàn, nǐ zěnme yàng?

   ห่าวจิ่วปู๋เจี้ยน หนี๋เจิ่นเมอย่าง

   ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงบ้าง

9.最近忙吗?

   Zuìjìn máng ma?

   จุ้ยจิ้น หมางมะ

   ช่วงนี้ยุ่งไหม

10.你身体好吗?

      Nǐ shēntǐ hǎo ma?

      หนี่เซินถี่ห่าวมะ

      คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง

11.我的身体很好。

      Wǒ de shēntǐ hěn hǎo.

      หว่อเตอเซินถี่เหิ่นห่าว

       สุขภาพฉันดี

12.你父母身体好吗?

      Nǐ fùmǔ shēntǐ hǎo ma?

      หนี่ ฟู่หมู่ เซินถี่ ห่าวมะ

      พ่อแม่คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง

13.带我向他们问好。

     Dài wǒ xiàng tāmen wènhǎo.

     ไต้หว่อเซี่ยงทาเมิน เวิ่นห่าว

      ฝากสวัสดีพ่อแม่คุณด้วย

14.你好吗?

      Nǐ hǎo ma?

      หนีห่าวมะ

      คุณสบายดีไหม

15.我很好,你呢

      Wǒ hěn hǎo, nǐ ne

      หว่อ เหินห่าว หนี่เนอ

      ฉันสบายดี คุณล่ะ

16.我也很好。

      Wǒ yě hěn hǎo.

      หว่อ เหย่ เหิน ห่าว

      ฉันก็สบายดี

การกล่าวลาในภาษาจีน

1.再见

   Zàijiàn

   จ้าย เจี้ยน

   พบกันใหม่

2.明天见.

   Míngtiān jiàn.

   หมิงเทียนเจี้ยน

   พรุ่งนี้เจอกัน

3.回头见.

   Huítóu jiàn.

   หุยโถวเจี้ยน

   แล้วพบกันใหม่

4.有空长联系.

   Yǒu kòng cháng liánxì.

   โหย่วโค่งฉางเหลียนซี่

   มีเวลาเจอกันใหม่นะ

  

5.对不起,我先走了.

   Duìbùqǐ, wǒ xiān zǒuliǎo.

   ตุ้ยปู้ฉี่ หว่อเซียนโจ่วเลอ

   ขอโทษนะ ฉันต้องไปก่อนแล้ว

6.你多保重.

    Nǐ duō bǎozhòng.

    หนี่ ตัว ป่าว จ้ง

    ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ

7.一路平安

    Yīlù píng'ān

     อี๋ลู่ผิงอาน

     เดินทางโดยสวัสดิภาพ

8.一路顺风

    Yīlù shùnfēng

    อี๋ลู่ซุ่นเฟิง

    เดินทางโดยสวัสดิภาพ

9.到了以后,我给你打电话。

     Dàole yǐhòu, wǒ gěi nǐ dǎ diànhuà.

     เต้าเลออี่โฮ่ว หวอเก่ยหนี่ต่าเตี้ยนฮว่า

     หลังจากไปถึงแล้ว ฉันจะโทรศัพท์หาคุณ

การขอโทษ

1.对不起(โดยทั่วไปจะใช้ตัวนี้)

   Duìbùqǐ

   ตุ้ยปู้ฉี่

   ขอโทษค่ะ/ครับ

2.请原谅

   Qǐng yuánliàng

   ฉิ่ง เหยียนเลี่ยง

   ประทานโทษค่ะ/ครับ

3.不好意思

   Bù hǎoyìsi

   ปู้ห่าวอี้ซือ

   ขอโทษค่ะ/ครับ

4.真不好意思

   Zhēn bù hǎoyìsi

   เจิน ปู้ ห่าว อี้ ซือ

   ต้องขอโทษจริงๆ

5.打扰了

    Dǎrǎole

    ต่า หร่าว เลอ

    ต้องรบกวนแล้ว

真抱歉(สุภาพมาก)

     Zhēn bàoqiàn

     เจิน ป้าว เชี่ยน

     ขออภัยค่ะ/ครับ

 การขอบคุณ

1.谢谢

    Xièxiè

    เซี่ยเซี่ย

    ขอบคุณ

2.多谢

    Duōxiè

    ตัวเซี่ย

    ขอบคุณมาก

3.太感谢你

    Tài gǎnxiè nǐle

    ไท่ ก่าน เซี่ย หนี่  

    ขอบพระคุณมากๆ

4.谢谢你的帮助

    Xièxiè nǐ de bāngzhù

    เซี่ยเซี่ย หนี่ เตอ ปาง จู้

    ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ

5.麻烦您了

    Máfan nínle

    หมา ฝ่าน หนิน เลอ

    รบหวนคุณแล้ว

6.辛苦你了

    Xīnkǔ nǐle

    ซิน ขุ่ หนีเลอ

    ลำบากคุณแล้ว

7.我很感谢

    Wǒ hěn gǎnxiè

    หว่อ เหิ่น ก่าน เซี่ย

    ฉันขอขอบคุณจริงๆ

การตอบรับ

1.不用谢

   Bùyòng xiè

   ปู๋โย่งเซี่ย

   ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก

2.不客气

   Bù kèqì

   ปู๋เค่อชี่

   ไม่ต้องเกรงใจ

3.别客气

   Bié kèqì

   เปี๋ยเค่อชี่

   ไม่ต้องเกรงใจ

4.没关系

   Méiguānxì

   เหมยกวานซี

   ไม่เป็นไร

5.没什么

   Méishénme

   เหมย เสิน เมอ

   ไม่เป็นไร

6.你太客气了

    Nǐ tài kèqìle

    หนี่ ไท่ เค่อ ฉี่ เลอ

    คุณเกรงใจมากไปแล้ว

อันนี้เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆนะคะ

ใครที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคมก็สู้ๆน้า✌🏻

เป็นกำลังใจให้ค่ะ🥺🤒

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!