ในวันที่13เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันสงกรานต์และเป็นวันที่พระธิดาของท้าวกบิลพรมหมจะนำพระเศียรของผู้เป็นพระบิดามาแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุ เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็นำพระเศียรไปไว้ ณ ถ้ำคันธุลี ที่เขาไกรลาศ ดังเดิม
ณ ห้องบรรทมของพระธิดาทั้ง7พระองค์
“เอาล่ะพวกเจ้าตื่นกันได้แล้วจะนอนกันไปถึงเมื่อไรกัน วันนี้เป็นสำคัญนะ รีบลุกเร็วเข้า”นางทุงษะเทวีผู้เป็นพี่โตสุดปลุกน้องๆที่เหลือด้วยความเร่งรีบ
“โถ่ ท่านพี่ละก็ ทำเป็นคนแก่ไปได้ นี่ข้ากำลังนอนหลับสบายอยู่เลย ท่านดันมาขัดจังหวะข้าซะได้ อารมณ์เสียหมด”นางมัณฑาเทวีผู้เป็นน้องคนที่4พูดเป็นผู้เป็นพี่ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดพอสมควร
“ข้าว่า เจ้ารีบลุกจากเตียงก่อนเถอะนะ ก็ที่จะโดนสั่งสอนน่ะมัณฑ”นางโคราคเทวีผู้เป็นพี่คนรอง รองจากนางทุงษะเทวีที่พึ่งตื่นจากบรรทมได้พูดกับน้องคนที่4ด้วยความกังวล มัณฑาเทวีเมื่อได้ยินอย่างงั้นก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากผู้ที่เป็นพี่คนโตสุด ช่างเป็นรังสีที่น่ากลัวยิ่งนัก
“เจ้าจะลุกแบบดีๆหรือจะต้องให้ข้าช่วย”พูดจบนางก็ดึงแขนผู้ที่เป็นน้องและกระชากลงมาจากเตียงด้วยความรุนแรง
“โอ้ย!!!”นางมัณฑาเทวีร้องออกมาส่งเสียงร้องออกมาอย่างดัง ทำให้พระธิดาอีก4พระองค์สะดุดตื่นด้วยความตกใจ
“ก..เกิดอะไรขึ้นทำไมพี่มัณฑาถึงได้ไปนอนกองที่พื้นเยี่ยงนี้”
ผู้ที่ถามคือ นางกิริณีเทวี เป็นน้องคนที่5รองจากนางมัณฑเทวี (ที่ถามนี่ไม่ใช่เป็นห่วงแต่ถามเพราะขำที่ผู้พี่ลงไปนอนกองพื้นต่างหาก)
“หึ สงสัยมัณฑาจะไปกวนท่านพี่ทุงษะน่ะสิ ถึงได้ไปนอนกองนี้พื้นเยี่ยงนี้ ฮ่าๆๆ”นางรากษสผู้เป็นน้องคนที่3รองจากนางทุงษะและนางโคราคเทวี พูดกับน้องคนที่5ด้วยความตลกขำขัน
“หยุดนะ! พี่ไม่โดนเหมือนกับข้าก็อย่าหัวเราะกันสิ!!!”นางมัณฑาหน้าแดงหลังจากที่โดนนางรากษสผู้เป็นพี่และนาง
กิริณีผู้เป็นน้องพากันหัวเราะเยาะใส่ตน
“หยุดเถอะได้แล้วค่ะท่านพี่ ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลางานจะเริ่มแล้วเรารีบลุกไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยดีกว่านะคะ”นางกิมิทาเทวีน้องคนที่6รองจากนางกิริณีและมัณฑารีบห้ามก่อนที่เรื่องมันจะยาวไปกว่านี้ อีกเหตุนึงก็เพราะเห็นพี่ทุงษะเริ่มแผ่รังสีอำมหิตอีกครั้ง ทำให้ทั้งหมดเลิกคุยกัน แล้วรับลุกออกจากเตียงเพื่อไปทำธุระของตนให้ก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น
“เห้ออ ยังทำตัวกันเป็นเด็กอยู่อีกอายุก็17-18กันแล้วด้วย”นางทุงษะบ่นน้องๆหลังจากที่ทุกคนออกจากห้องกันไปหมดแล้ว
“ท่านพี่”
“ ! ”นางสะดุดกับเสียงที่ได้ยินจึงหันกลับไปดู ก็พบกับสีหน้าที่ดูวิตกกังวลกับอะไรบ้างอย่างของผู้ที่เป็นน้องคนเล็กสุดในบรรดาน้องๆทั้งหมด นางจึงเอ่ยถามผู้ที่เป็นน้องน้องสุดว่า...
“มโหทร เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากัน ทำไมถึงได้ทำหน้าดูวิตกกังวลขนาดนั้นกันละ เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึเปล่า?”
“ข้า...เมื่อวานข้าฝันแปลกๆฝันว่าพวกเราทั้ง7พระองค์ตกสวรรค์แล้วลงไปอยู่ที่โลกมนุษย์ และไม่กลับขึ้นมาที่สวรรค์อีกเลย”มโหทรผู้เป็นน้องคนเล็กเล่าเรื่องความฝันทั้งหมดที่ตนฝันให้กับผู้ที่เป็นพี่คนสุดให้ได้ทราบ
เรื่องที่มโหทรเล่ามาสร้างความตกใจให้กับนางทุงษะผู้เป็นพี่คนโตได้มากนัก ทำให้นางคิดในใจว่าเรื่องที่มโหทรเล่ามาอาจจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้หนี่งร้องเปอร์เซ็นต์ว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดจะเกิดขึ้นจริงๆ
“ข้าว่าจนอาจจะคิดมากไปเองล่ะมั้ง ไม่ต้องกังวลไปดอกหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ พวกเราจะอยู่เคียงข้างกันและหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้ได้”คำตอบที่นางทุงษะบอกไปทำให้นางมโหทรคลายกังวลได้บ้างเล็กน้อย “เอาเถอะ ตอนนี้เจ้าไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย พิธีใกล้จะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว”บอกพร้อมกับลูบหัวนางมโหทรผู้เป็นน้องด้วยความเอ็นดู
“ค่ะ ข้าจะรีบไปเตรียมตัว ขอบพระทัยท่านพี่ยิ่งนักตอนนี้จข้าสบายใจขึ้นเยอะแล้วละค่ะ”พูดเสร็จทั้งนางทุงษะและนางมโหทรก็เดินออกจากห้องบรรทมไปพร้อมกัน
***โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องความวุ่ยวายทั้งหมดนี้กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว***
ณ ลานพิธีแห่ขบวนพระเศียรของท้าวกบิลพรหม ต่างเต็มไปด้วยหมู่เทวดานางนางฟ้าจำนวนมากที่ต่างเข้ามากร่วมพิธีเช่นที่ทำเหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมาในลานพิธีมีทั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พานบายศรีประดับโต๊ะบูชาส่วนตรงกลางที่ว่างไว้ ก็คือเอาไว้วางพระเศียรของท้าวกบิลพรมหมหลังจากที่ขบวนแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุเรียบร้อยแล้ว
“เอาล่ะในเมื่อทุกคนมาครบหมดแล้ว ขอเชิญพระธิดาในท้าวกบิลพรมหมทั้ง7พระองค์ เชิญเสด็งประทับที่พระที่นั่งประจพระองค์ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”ปุโรหิตผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในเรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณีและการจัดพิธีในครั้งนี้ได้กล่าวเชิญให้พระธิดาทั้ง7พระองค์ได้ทรงทราบ เมื่อพูดจบพระธิดาทั้ง7พระองค์เดินออกมาตามลำดับ...
จากนี้ขอแนะนำตัวพระธิดาทั้ง7พระองค์อย่างละเอียดนะคะ
*โดยที่องค์แรกที่เสด็จออกมาคือ นางทุงษะเทวี ผู้เป็นพี่คนโตสุดในบรรดาน้องๆทั้ง6คน เป็นผู้ที่มีความสุขุมและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน แต่อย่าทำให้นางกริ้วเป็นอันขาดว่ากันว่าน่ากลัวยิ่งกว่ายักษ์รามสูรเสียอีก อย่างไรก็ตามนางเดินออกมาด้วยชุดสไบสีแดงชาติพริ้วไหวตามสายลม เครื่องที่เป็นทองคำแท้ตัดกับสีชุดที่นางใส่ได้อย่างลงตัว*
*คนที่2ที่เดินตามมาคือ นางโคราคเทวี ผู้ที่เปรียบดั่งมารดาของบรรดาพี่น้องของตนทั้งหมด เนื่องจากนางมีนิสัยที่ชอบดูแลเอาใจใส่พี่น้องทุกคนเหมือนมารดาแท้ๆ ชุดที่นางใส่เป็นเกาะอก2ชั้น ชั้นในเป็นสีจำปาเข้มส่วนชั้นนอกเป็นสีเหลืองรงค์ ที่ใส่พอเครื่องประดับที่ทำจากทองคำแท้ทำให้นางมีเสน่ห์เพิ่มมากยิ่งขึ้น*
*คนที่3คือ นางรากษสเทวี ถึงนางจะดูเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตนตามแบบกุลสตรีไทยก็ตาม แต่จริงๆนางเป็นคนที่ปากคอเราะร้ายมิเบา จึงมักจะทะเลาะกับนางมณฑาเทวีผู้เป็นน้องอยู่บ่อยครั้ง ชุดที่นางใส่เป็นแบบเกาะอกสีเฟื่องฟ้าตัดกับขอบสีทองคำและมีสไบสีชมพูอ่อนพันเป็นสไบทำให้เพิ่มความเป็นกุลสตรีขึ้นมาอีกระดับนึง(จริงๆมันก็ไม่ได้เพิ่มหรอกแค่บรรยายให้ดูเว่อๆเท่านั้นเองฮ่าๆ หยอกๆนะ)*
*คนที่4คือ นางมณฑาเทวี มีนิสัยห่าวๆออกไปทางทอมบอยไม่ค่อยทำตัวเป็นกุลสตรีซะเท่าไร จึงมักจะทะเลาะกับนางรากษสเทสีผู้เป็นพี่อยู่บ่อยครั้ง ชุดที่นางใส่เป็นจงกระเบนสีเขียวเข้มตัดกับผ้าคาดเอวสีเขียวมรกตเป็นอย่างดี*
*คนที่5คือ นางกิริณีเทวี นางเป็นคนที่มีเสน่ห์มากที่สุดบรรดาพี่น้องทั้งหมด เนื่องจากนางเป็นคนที่ชอบแต่งตัวและดูแลผิวพรรณอยู่ย่อยครั้งจึงทำให้ผิวพรรณของนางขาวใสดั่งไข่มุก โดยชุดที่นางใส่เป็นแบบราตรีแบบผ่านครึ่งตัวซึ่งสีที่เลือกเป็นสีแสดที่ตัดกับสร้อยมรกตได้เป็นอย่างดี*
*คนที่6คือ นางกิมิทาเทวี ผู้ที่เงียบที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด นางไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเท่าไรแต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นนางจะช่วยคลี่คลายปัญหาให้จบลงเองนางมาในชุดราตรีแบบแนบชิดตัวสีฟ้าน้ำทะเลตัดกับดอกบัวสีบานเย็นที่อยู่ตรงกลาง ทำให้นางดูเด่นขึ้นมาทันที*
*และสุดท้ายคนที่7คือ นางมโหทรเทวี เป็นน้องเล็กสุดในบรรดาพี่ๆทั้งหมด จุดเด่นของของนางคือมีรอยแผลเป็นที่แก้มข้างซ้าย นางมีนิสัยเงียบๆแต่เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยถึงแม้จะเป็นน้องเล็กสุดก็ตาม นางมาพร้อมกับชุดเกาะอกและนุงจงกระเบนสีมะเขือม่วงเหลือบคราม ใส่ปอกแขนสีเดียวกันกับชุดเกาะอกและจงกระเบน*
และใส่สร้อยเพรชสีนิลเพื่อแสดงถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ตัว
“เมื่อพระธิดาประทับหมดแล้ว ขอเชิญพระนางทุงษะเทวีกล่าวคำอวยพรแด่เหล่าเทวดานางฟ้าที่มาร่วมงานและมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ปุโรหิตพูดจบนางทุงษะเทวีซึ่งเป็นตัวแทนในการกล่าวคำอวยพร ได้ลุกออกจากพระที่นั่งเดินมาหยุดตรงหน้าลานที่ทำพิธี
“ในฐานะที่ข้าเป็นตัวแทนออกมากล่าวคำอวยพรแด่ท่านเทวดานางฟ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์ที่อยู่ด้านล่างสวรรค์นี้ ข้าขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี มีความสุขถ้วนหน้าทุกคืนวันและสุดท้ายนี้ข้าขออวยชัยให้พวกท่านโชคดี”สิ้นเสียงนางทุงษะเทวีแล้วนั้นก็มีเสียงปรบมือกันสนั่นลั่นฟ้า ทำให้นางทุงษะเทวีเผลอยิ้มออกมาด้วยความปลาบปลื้มและยิ่งดี ซึ่งเป็นรอยยิ้มหายากยิ่งนัก
“จากนี้ ข้าขอมอบหน้าที่ผู้ที่นำพระเศียรของท้าวกบิลพรหม
มาทำพิธีบวงสรวงตามประเพณีให้กับ นางรากษสเทวี ซึ่งเป็นน้องสาวของข้า”พูดจบนางรากษสเทวีก็ลุกจากพระที่นั่งมายืนเคียงข้างนางทุงษะเทวีผู้เป็นพี่ พร้อมกับไหว้ผู้เป็นพี่ด้วยความเคารพนับถือ
“เพคะ ข้าจะนำพระเศียรของท้าวกบิลพรหมมาทำพิธีบวงสรวงตามประเพณีให้เร็วที่สุดเพคะ”
“อืม ข้าฝากเจ้าด้วยหนา รากษสเทวี”เอ่ยจบนางรากษสเทวี พร้อมกับขบวนแห่ก็เสด็จไปที่ถ้ำคันธุลี ณ เขาไกรลาศเพื่อไปนำพระเศียรของท้าวกบิลพรมหมมาทำพิธีบวงสรวงให้เร็วที่สุด
“ข้าว่ารากษสก็เติบโตขึ้นมากเลยหนาท่านพี่”นางโคราคเทวีพูดกับนางทุงษะผู้เป็นพี่ หลังจากที่นางรากษศเทวีออกไปได้ไม่นาน
“อืม ดีแล้วแหละต่อไปสักวันนึงทั้งรากษสและพวกเจ้าก็ต้องมาทำหน้าที่เหมือนกับข้าอยู่ดี”ตรัสออกไปในสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความภูมิใจที่เห็นน้องตัวเองโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นแล้ว
ผ่านไป4ชั่วโมงแล้วนางรากษสและหมู่คณะไม่มีวี่แววที่จะกลับมาเลย
เกิดอะไรไม่มีดีขึ้นรึปล่าวนะ?
ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ
“ย..แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะพระเศียรของท้าวกบิลพรหมหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!!!!”
“เจ้าว่ากระไรนะ!!!!!!!”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!